วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2552

ประวัติกิจกรรม

1.เข้าร่วมกิจกรรมทางด้านกีฬาทุกด้าน เช่น การเเข่งขันกีฬาประเพณี BIOT GAMES
ประมวลภาพบรรยากาศการเเข่งขันกีฬา BIOT GAMES ที่มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา เเละที่มหาวิทยาลัยเกษตร์ บางเขน


2. เข้าร่วมปลูกต้นไม้เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ
ประมวลภาพปลูกต้นไม้

ประวัติการทำงาน

รับตำเเหน่งเป็นพนักงานฝ่ายผลิต ในเครือบริษัท FUJITSU ที่จังหวัดชนบุรี ปี พ.ศ 2550
ประมวลภาพเพื่อนร่วมงาน

โรคเบาหวาน สมุนไพร รักษาเบาหวาน

สมุนไพรรักษาโรคเบาหวาน ลดน้ำตาลในเลือด ได้แก่ ไหมข้าวโพด,ใบสักทอง,เห็ดหลินจือ,ไมยราบ,มะระขี้นก,บอระเพ็ด,ปัญจขันธ์ สมุนไพรเหล่านี้สามารถบำบัดและรักษาโรคเบาหวานได้ แต่ผู้ป่วยเบาหวานควรควบคุมเรื่องอาหารและน้ำตาลในเลือดให้ดีเพื่อยับยั้งโรคเบาหวานด้วย

เบาหวาน คือภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ เนื่องมาจากร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลในเลือดไปใช้ได้ตามปกติ ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของต่อมไร้ท่อที่ตับอ่อนปล่อยฮอร์โมนที่เรียกว่า “อินซูลิน” ออกมาไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย

โรคเบาหวาน เป็นโรคที่เรื้อรัง สามารถรักษาได้แต่ไม่หายขาด ทั้งนี้เกิดจากสาเหตุหลายๆอย่างทั้งจากกรรมพันธุ์ และอาหารการกิน

สาเหตุของโรค คือ ตับอ่อนเสื่อม จึงสร้างอินซูลินได้น้อยหรือไม่ได้เลย สารอินซูลินเป็นฮอร์โมนที่ทำหน้าที่ช่วยให้ร่างกายเปลี่ยนน้ำตาลให้กลายเป็นพลังงาน เมื่ออินซูลินในร่างกายไม่พอ น้ำตาลก็ไม่ถูกนำไปใช้ จนทำให้เกิดการคั่งของน้ำตาลในเลือดและอวัยวะต่างๆ และถูกไตขับออกมาทางปัสสาวะ

ในการแพทย์ปัจจุบัน ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานต้องใช้ยาควบคุมน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในภาวะปกติไปตลอดชีวิต ถ้าหยุดใช้ยาควบคุมเมื่อไหร่ น้ำตาลก็จะสูงขึ้นและถ้าสูงจนอยู่ในภาวะวิกฤติ อาจทำให้ถึงแก่กรรมได้

เราสามารถแบ่งชนิดของโรคเบาหวานได้เป็น 2 ชนิด คือ

เบาหวานชนิดพึ่งอินซูลิน
เป็นชนิดที่พบได้น้อยแต่มีความรุนแรงและอันตรายค่อนข้างสูง มักพบในเด็กและคนที่อายุต่ำกว่า 25ปี โดยตับอ่อนของผู้ป่วยกลุ่มนี้จะไม่สามารถผลิตสารอินซูลินได้เลย หรืออาจจะผลิตได้น้อยมาก จึงจำเป็นจะต้องพึ่งพาการฉีดอินซูลินเข้าทดแทนในร่างกาย

เบาหวานชนิดที่ไม่พึ่งอินซูลิน
เป็นเบาหวานที่พบได้บ่อยในคนที่อายุมากกว่า 40 ปี มักจะมีความรุนแรงน้อย โดยตับอ่อนของผู้ป่วยยังสามารถที่จะผลิตอินซูลินได้บ้าง แต่ยังไม่เพียงพอที่จะเผาผลาญน้ำตาล
เหตุผลที่เราจะต้องควบคุมเบาหวานก็เพราะถ้าไม่ควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในระดับปกติ เบาหวานจะทำให้เกิดผลข้างเคียงกับอวัยวะสำคัญได้ เช่น การติดเชื้อที่ดวงตา หรือที่ไต หรือการส่งผลทำให้เกิดโรคเกี่ยวกับระบบหัวใจและความดันโลหิตตามมา

หลักการควบคุมโรคเบาหวาน
การรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับปกติ โดยการปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร ลดอาหารประเภทแป้ง-น้ำตาล-ไขมัน ควรรับประทานผักและผลไม้เพิ่มขึ้น ยกเว้นผลไม้ที่มีรสหวานควรหลีกเลี่ยง
ป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดจากโรคเบาหวาน
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
ดูแลรักษาความสะอาดของร่างกาย ระมัดระวังไม่ให้ร่างกายเกิดแผล เพราะจะทำให้แผลหายช้า
อาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน

อาหารที่ควรงดได้แก่ อาหารน้ำตาลทุกชนิด เช่น ขนมหวาน ของหวาน ของเชื่อม ผลไม้กระป๋อง น้ำหวาน น้ำอัดลม น้ำผลไม้ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด

ผลไม้กินได้ในปริมาณจำกัด เนื่องจากมีน้ำตาล แต่ให้หลีกเลี่ยงผลไม้ที่หวานจัด เช่นทุเรียน น้อยหน่า ละมุด อย่างไรก็ตามผู้ป่วยเบาหวานไม่ควรงดผลไม้ เนื่องจากผลไม้มีวิตามิน และใยอาหารสูง

อาหารที่ควรกินให้มากคือผักใบเขียวทุกชนิด ซึ่งให้พลังงานต่ำ มีใยอาหารสูง แต่มีข้อควรระวังคือ อันตรายจากยาปราบศัตรูพืชที่อาจตกค้างอยู่ ควรล้างให้สะอาดก่อนทุกครั้ง

สมุนไพรบำบัดและรักษาโรคเบาหวาน

สมุนไพร ได้เข้ามามีบทบาทในการรักษาและควบคุมความรุนแรงของโรคที่มีผลต่อสุขภาพชีวิตของคนไทยได้หลายๆโรค เบาหวานก็เป็นอีกโรคหนึ่งที่สามารถใช้สมุนไพรในการควบคุมความรุนแรงของโรคได้

เตยหอม(ทั้งใบและราก) กับ ใบของต้นสักทอง

เตยหอมเอาทั้งใบและราก ล้างให้สะอาด ตัดส่วนของใบสักทองและใบเตยหอมอย่างละเท่าๆ กันเอามาคั่วให้เหลือง ส่วนรากเตยหอมไม่ต้องคั่ว แต่เอามาทุบให้แตก แล้วใส่ทั้ง 3 อย่างลงในหม้อต้ม ใช้น้ำยารับประทานแทนต่างน้ำทุกวัน ประมาณ ๑ เดือน อาการก็จะดีขึ้น (หรือจะทำเป็นชาดื่มก็ได้)

เห็ดหลินจือ

เห็ดหลินจือเป็นสมุนไพรที่นักวิทยาศาสตร์พบว่ามีสารสำคัญทางยาที่ลดน้ำตาลในเลือดได้คือสาร ที่อยู่ในกลุ่มของ โพลีแซ็กคาไรด์ ได้แก่ กาโนเดอแรน เอ บี และ ซี (Ganoderans A,B,C,) ช่วยลดน้ำตาลในกระแสเลือด ทำให้มีการเพิ่มขึ้นของสารอินซูลินซึ่งเป็นสารที่ทำหน้าที่เปลี่ยนน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานให้แก่ร่างกาย ปัจจุบันได้มีการจดสิทธิบัตรสารสำคัญในเห็ดหลินจือ คือกาโนเดอแรน เอ บี และ ซี (Ganoderans A,B,C,) ทำเป็นยารักษาผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีข้อบ่งชี้ใช้ลดน้ำตาลในเลือด

ใบอินทนินน้ำ

๒ - ๓ กำมือ นำมาล้างน้ำให้สะอาด ใส่หม้อเติมน้ำ ต้มให้สุก ทิ้งไว้ให้เย็นลง แล้วใช้น้ำยารับประทาน ต้นไมยราบ กับ ต้นครอบจักรวาลหรือต้นฟันจักรสี อย่างละเท่ากัน นำมาหั่นตากแดดให้แห้ง คั่วไฟให้เหลือง ชงกับน้ำร้อนเป็นน้ำชาดื่ม

มะระขี้นก

มะระขี้นกเป็นผักพื้นบ้านที่มีคุณประโยชน์แก่ร่างกายสูง ทั้งด้านคุณค่าทางอาหาร คือ พลังงาน คาร์โบไฮเดรต โปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก เส้นใย วิตามิน A, B1, B2, C ไนอาซีน และไทอามีน นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ทางยา คือ ลดน้ำตาลในเลือด (แก้โรคเบาหวาน) รักษาโรคเอดส์ และต้านเชื้อ HIV ต้านมะเร็ง ใช้เป็นยาถ่าย แก้ไข้ แก้ร้อนในกระหายน้ำ มีรสขมช่วยให้เจริญอาหาร มีสาร charantin ช่วยลดน้ำตาลในเลือดสามารถบำบัดโรคเบาหวานได้ และ มะระยังมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินซี ไนอาซีน และเบต้าแคโรทีน อยู่ในระดับสูง ผลอ่อนของมะระขี้นกให้วิตามินซี และเบต้าแคโรทีนสูง

มะระขี้นกลดน้ำตาลในเลือด รักษาโรคเบาหวาน ในการรับประทานมะระขี้นก ให้หั่นเนื้อมะระตากแห้งชงน้ำดื่ม ถ้าต้องการกลบรสขมให้เติมใบชาลงไปด้วยขณะที่ชง ดื่มต่างน้ำชา นอกจากนี้น้ำต้มผลมะระ สามารถลดการเกิด ต้อกระจก ซึ่งเป็นอาการข้างเคียงในคนที่เป็นโรคเบาหวานได้

สิ่งที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษคือ การรับประทานเมล็ดซึ่งมีสารกลุ่มไพริมิดีนนิวคลีโอไซด์ที่ชื่อว่า ไวซิน (Vicine) อาจจะทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ เป็นไข้ ปวดท้อง และอาการโคม่าได้ ดังนั้น พึงระลึกว่าเมล็ดของมะระขี้นกอาจมีพิษ หากจะนำผลมะระขี้นกมาทำยารับประทานต้องแกะเมล็ดออกเสมอ (แสงไทย, 2544)

อบเชย

อบเชย มีสารที่สำคัญคือ เมธิลไฮดรอกซี่ ซาลโคน โพลิเมอร์ (Methylhydroxy Chalcone Polymer หรือ MHCP) ซึ่งเป็นเป็นสารที่มีคุณสมบัติและความสามารถในการทำงานคล้ายกับฮอร์โมนอินซูลิน คือช่วยเพิ่มความสามารถในกรสันดาปกลูโคสให้ได้มากขึ้น จึงมีผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงและจะไม่ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูงได้ถ้ามีการรับประทาน "อบเชย""อย่างต่อเนื่องเป็นประจำ การใช้อบเชยควบคุระดับน้ำตาลในเลือดนั้น จะมีความปลอดภัยมากว่าการใช้ยาลดระดับน้ำตาลในเลือด เพราะสามารถรับประทานได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่เกิดผลข้างเคียงกับร่างกายแต่อย่างใด โดยภายใน1 วันควรรับประทาน"อบเชย"อย่างน้อย 1 กรัม และให้รับประทานอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ให้ผู้ป่วยทำการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดผู้ป่วยควบคู่ไปด้วย
(จาก วารสารยา สมาคมผู้ผลิตยาสมุนไพร ฉบับที่ 12 พฤศจิกายน-ธันวาคม 2549 )

บอระเพ็ด

บอระเพ็ด มีสาร N-trans-feruloyth-ramine, N-cis-feruloyltyramine, tinotuberide, phytosterol และ Picroretin สรรพคุณทางยาของบอระเพ็ดคือระงับความร้อนได้ดี สามารถแก้อาการเป็นไข้ ช่วยลดคลอเลสเตอรอล ลดน้ำตาลในเลือด ลดกรดยูริค ช่วยปรับสมดุลระบบย่อยอาหารและยังช่วยให้เจริญอาหาร ป้องกันโรคหัวใจ ช่วยให้กล้ามเนื้อหัวใจบีบตัวได้ดีขึ้น การต้านอนุมูลอิสระ

รศ.ดร.งามผ่อง คงคาทิพย์ หัวหน้าโครงการสมุนไพร หน่วยปฏิบัติการผลิตภัณฑ์ธรรมชาติและเคมีอินทรีย์สังเคราะห์ ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปิดเผยว่า โครงการวิจัยค้นหาคุณสมบัติของสารสกัดสมุนไพรบอระเพ็ด (Tinospora crispa) มีความคืบหน้าอย่างมาก ขณะนี้สามารถระบุชนิดของสารสำคัญในบอระเพ็ดที่ออกฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดได้แล้ว และทดสอบไม่พบความเป็นพิษเฉียบพลัน ขณะนี้อยู่ระหว่างทดสอบความเป็นพิษเรื้อรังในหนูทดลอง

"เมื่อผลทดสอบไม่พบพิษเฉียบพลัน หมายความว่าเราสามารถรับบริโภคสดได้ ส่วนพิษเรื้อรังนั้นได้ทดสอบมาแล้ว 4 เดือน เหลืออีกประมาณ 2 เดือน จึงจะสรุปผลได้ว่า การบริโภคบอระเพ็ดต่อเนื่องทุกวันจะก่ออันตรายต่อตับและไตหรือไม่ นอกจากนี้ เรายังพบอีกว่าบอระเพ็ดจากสุพรรณบุรี พิจิตร ศรีสะเกษ มีคุณสมบัติรักษาเบาหวานดีกว่าบอระเพ็ดจากสระแก้ว" รศ.ดร.งามผ่อง กล่าว

สาเหตุที่เลือกวิจัยบอระเพ็ด เนื่องจากเป็นสมุนไพรที่ระบุอยู่ในตำรับยาไทยมากสุด โดยมีสรรพคุณที่ชัดเจน 4 ด้าน คือ บำรุงหัวใจ ลดไข้ เจริญอาหารและลดน้ำตาลในเลือด

รศ.ดร.งามผ่อง กล่าว "ลำต้นแก่จะมีสารกลุ่มอัลคาลอยด์มากกว่าลำต้นอ่อน ซึ่งช่วยเพิ่มแรงบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจห้องบนขวาและซ้ายได้ดี ขณะเดียวกันไม่เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ จากปกติยารักษาโรคหัวใจจะเพิ่มทั้งแรงบีบตัวกล้ามเนื้อหัวใจและอัตราการเต้นของหัวใจด้วย ดังนั้น ถ้าได้ยาที่ไม่เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจจะเป็นยาที่ดีกว่ายารักษาโรคหัวใจที่มีอยู่ปัจจุบัน จึงคาดหวังว่า 2 โครงการวิจัยข้างต้นน่าจะพัฒนาเป็น "ยาเสริม" สำหรับคนไข้เบาหวานและโรคหัวใจ"

คำแนะนำ
ในการบริโภคบอระเพ็ดให้บริโภคคู่กับลูกใต้ใบ เพื่อลดพิษในตับ ลูกใต้ใบ มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาว่า มีฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัส ลดไข้ ช่วยยับยั้งความเป็นพิษต่อตับ ขับปัสสาวะ

http://www.alternativecomplete.com/alternative1.php

วิธีประหยัดพลัง

๑๐๘ วิธี ประหยัดพลังงาน

ภาวะเศรษฐกิจของประเทศยังอยู่ในขั้นวิกฤติ เป็นหนี้อยู่ประมาณ สองล้าน ล้านบาท ท่ามกลางสภาวะการณ์ที่เลวร้ายนี้ ประชาชนไทยทั้งหลาย ต่างก็มีความห่วงใยในประเทศชาติ มีความรักชาติที่เข้มข้น และทุกคนที่จะช่วยประเทศชาติ ซึ่งถือได้ว่าเป็นความสามัคคี ที่จะต้องจารึกไว้ในประวึติศาสตร์ เพราะเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าในยามที่ คับขันนี้คนไทยพร้อมใจที่จะช่วยประเทศชาติ บ้างก็สละเงิน ทอง และทรัพย์สินส่วนตัว นั่นก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ก็ยังมีวิธีที่ทุกคน สามารถที่จะช่วยชาติได้ คือการลดการใช้พลังงานอย่างฉับพลันทันที ไม่ว่าจะเป็นการลดการใช้น้ำ น้ำมัน หรือไฟฟ้า พลังงานที่เราใช้มากมายในขณะนี้ ส่วนหนึ่งมาจากการใช้พลังงานอย่างไม่มีประสิทธิ์ภาพ ใช้มากเกินความจำเป็น ขาดความเอาใจใส่ ไม่คิดก่อนใช้ ทำให้เกิดการรั่วไหล สูญเปล่าไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หากเรารอบครอบกันสักนิดก็จะช่วย ประอหยัดพลังงานได้อีกไม่น้อยเลยทีเดียว ๑๐๘ วิธีประหยัดพลังงานที่ได้อ่าน ในวารสารฉบับนี้ จะใช้เป็นจุดเริ่มต้นของคนไทยได้เข้าใจถึงการใช้พลังงานอย่างถูกต้อง ไม่เกิดการสูญเสีย ไม่ใช้มากเกินความจำเป็น การลดการใช้พลังงานพวกเราทุกคน ย่อมหมายถึงการมีส่วนได้ช่วยชาติ โดยที่เราไม่ต้องออกแรง หรือทรัพย์สินเงินทองอื่นใด เพรียงความใส่ใจและความตั้งใจและความตั้งใจจริงที่จะลด การใช้พลังงานส่วนเกินใกล้หมดไปเท่านั้น สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติขอมอบ ๑๐๘ วิธีการประหยัดพลังงานที่คนไทยทุกคนสามารถที่จะนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำ ได้โดยไม่ยากลำบากอะไร ไว้เป็นแนวทางเพื่อให้ทุกคนนำไปปฏิบัติให้เป็นนิสัยตลอดไป โดยเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ แล้วทำต่อ ๆ ไป ทุก ๆ วัน และแนะนำให้คนอื่นได้ร่วมประหยัดพลังงานด้วย
วิธีประหยัดน้ำมัน
๑. ตรวจสอบลมยางเป็นประจำ เพราะยางที่อ่อนเกินไปนั้น ทำให้สินเปลืองน้ำมันมากกว่า ยางที่มีปริมาณลมยางตามที่มาตรฐานกำหนด
๒. สับเปลี่ยนยาง ตรวจตั้งศูนย์ล้อตามกำหนด จะช่วยประหยัดน้ำมันเพิ่มขึ้นอีกมาก
๓. ดับเครื่องรถยนต์ทุกครั้งที่จะจอดรถนาน ๆ แค่จอดรถติดเครื่องไว้ ๑๐ นาที ก็เสียน้ำมันฟรี ๆ ๒๐๐ ซีซี
๔. ไม่ควรติดเครื่องทิ้งไว้เมื่อจอดรถ ให้ดับเครื่องยนต์ทุกครั้งที่ขึ้นของ ลงของ หรือคอยคน เพราะการติดเครื่องยนต์ทิ้งไว้เปลืองน้ำมันและสร้างมลพิษอีกด้วย
๕. ไม่ออกรถกระชากดังเอี๊ยด การออกรถกระชาก ๑๐ ครั้ง สูญเสียน้ำมันไปเปล่า ๆ ถึง ๑๐๐ ซีซี น้ำมันจำนวนนี้รถนี้สามารถวิ่งได้ไกล ๗๐๐ เมตร
๖. ไม่เร่งเครื่องยนต์ตอนเกียร์ว่าง อย่างที่เราเรียกว่าเบิ้ลเครื่อง การกระทำดังกล่าว ๑๐ ครั้ง สูญเสียน้ำมันถึง ๕๐ ซีซี ปริมาณน้ำมันขนาดนี้รถวิ่งไปได้ไกล ๓๕๐ เมตร
๗. ตรวจเครื่องตามกำหนด ควรตรวจเช็คเครื่องยนต์สม่ำเสมอ เช่นทำความสะอาดระบบไฟจุดระเบิดตั้งไฟแก่อ่อนให้พอดีจะช่วยประหยัดน้ำมันได้ถึง ๑๐ %
๘. ไม่ต้องอุ่นเครื่อง หากออกรถและขับช้า ๆ สัก ๑ - ๒ กม. แรก เครื่องยนต์ก็จะอุ่นเองไม่ต้องเปลืองน้ำมันไปกับการอุ่นเครื่อง
๙. ไม่ควรบรรทุกน้ำหนักเกินพิกัด เพราะเครื่องยนต์จะทำงานหนักที่เพิ่มขึ้น หากบรรทุกหนักมาก จะทำให้เปลืองน้ำมันและสึกหรอสูงขึ้น
๑๐. ใช้ระบบการใช้รถร่วมกัน หรือคาร์พูล ไปไหนมาไหนที่หมายเดียวกันทางผ่านหรือใกล้เคียงกันควรใช้รถคันเดียวกัน
๑๑. เดินทางเท่าที่จำเป็นจริง ๆ เพื่อประหยัดน้ำมันบ้างครั้งบ้างเรื่องอาจจะติดต่อกันทางโทรศัพท์ ก็จะได้ประหยัดน้ำมันประหยัดเวลา
๑๒. ไปซื้อของหรือไปธุระใกล้บ้านหรือใกล้ ๆ ที่ทำงาน อาจจะเดินหรือใช้จักรยานบ้าง ไม่จำเป็นต้องใช้รถยนต์ทุกครั้ง เป็นการออกกำลังกายและประหยัดน้ำมันด้วย
๑๓. ก่อนไปพบใครควรโทรศัพท์ไปถามก่อนว่าเขาอยู่หรือไม่ จะได้ไม่เสียเที่ยว ไม่เสียเวลาและน้ำมันไปโดยเปล่าประโยชน์
๑๔. สอบถามเส้นทางที่จะไปให้แน่ชัด หรือศึกษาแผนที่ให้ดีจะได้ไม่หลง ไม่เสียเวลาเปลืองน้ำมันใน การหา
๑๕. ควรใช้โทรศัพท์ โทรสาร ไปรษณีย์ อินเตอร์เนต หรือใช้บริการส่งแบบเอกสาร แทนการเดินทางด้วยตัวเอง เพื่อประหยัดน้ำมัน
๑๖. ไม่ควรเดินทางโดยไม่ว่างแผน การเดินทาง ควรกำหนดเส้นทาง และช่วงเวลาการเดินทางที่เหมาะสมเพื่อประหยัดน้ำมัน
๑๗. หมั่นศึกษาเส้นทางลัด ช่วยให้ไม่ต้องเดินทางยาวนาน ไม่ต้องเจอปัญหาจราจร ช่วยการประหยัดทั้งเวลาและประหยัดน้ำมัน
๑๘. ควรขับรถด้วยความเร็วคงที่ เลือกขับที่ความเร็วที่ ๗๐ - ๘๐ กม. / ชม. ที่ ๒,๐๐๐ - ๒,๕๐๐ รอบเครื่องยนต์ ความเร็วระดับนี้ประหยัดน้ำมันได้มากกว่า
๑๙. ไม่ควรลากเกียร์ เพราะการลากเกียร์ต่ำนาน ๆ จะทำให้เครื่องยนต์หมุนรอบสูงกินน้ำมันมาก และเครื่องยนต์ร้อนจัดสึกหรอง่าย
๒๐. ไม่ติดตั้งอุปกรณ์ตกแต่งที่จะทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนัก เช่น การทำให้เกิดการต้านลมขณะวิ่ง หรือทำให้เกิดการถ่ายเทไม่สะดวกไม่สามารถถ่ายเทความร้อนได้ดี
๒๑. ไม่ควรใช้น้ำมันเบนซินที่มีค่าอ๊อกเทนสูงเกินความจำเป็นของเครื่องยนต์ เพราะเป็นการสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์
๒๒. หมั่นเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ไส้กรองน้ำมันเครื่อง ไส้กรองอากาศ ตามระยะเวลาที่กำหนดเพื่อความเหมาะสมและการประหยัดน้ำมัน
๒๓. สำหรับเครื่องยนต์ เบนซิน ควรที่เลือกเติมน้ำมันให้ถูกชนิดถูกประเภท โดยเลือกตามค่าอ๊อกเทนที่เหมาะสมกับรถแต่ละยี่ห้อ ( สังเกตจากฝาปิดน้ำมันใกล้บ้าน )
๒๔. ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องปรับอากาศตลอดเวลา ยามเช้า ๆ เปิดกระจกรับความเย็นจากลมธรรมชาติบ้างก็สดชื่นดี ประหยัดน้ำมันได้
๒๕. ไม่ควรเร่งเครื่องปรับอากาศในรถอย่างเต็มที่จนเกินความจำเป็น ไม่เปิดแอร์แรง ๆ จนรู้สึกหนาวจนเกินไป เพราะสิ้นเปลืองพลังงาน
วิธีการประหยัดไฟฟ้า
๒๖. ปิดสวิตซ์ไฟและเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดเมื่อเลิกใช้งาน สร้างให้เป็นนิสัยในการดับไฟฟ้าทุกครั้งที่ออกจากห้อง
๒๗. เลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ได้มาตรฐานดูฉลากแสดงประสิทธิ์ภาพให้แน่ใจทุกครั้งก่อนตัดสินใจซื้อ หากมีอุปกรณ์ไฟฟ้าเบอร์ ๕ ต้องเลือกใช้เบอร์ ๕
๒๘. ปิดเครื่องปรับอากาศทุกครั้งเมื่อไม่เกิน ๑ ชม. สำหรับเครื่องปรับอากาศทั่วไปและ ๓๐ นาที สำหรับเครื่องปรับอากาศเบอร์ ๕
๒๙. หมั่นทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศของเครื่องปรับอากาศบ่อย ๆ เพื่อลดการเปลืองไฟในการทำงานของเครื่องปรับอากาศ
๓๐. ตั้งอุณหภูมิปรับอากาศที่ ๒๕ องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่กำลังเย็นสบายอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น ๑ องศาต้องใช้พลังงานเพิ่มขึ้นร้อยละ ๕ - ๑๐ องศา
๓๑. ไม่ควรปล่อยให้มีความเย็นรั่วไหลจาก ห้องที่ติดตั้งเครื่องปรับอากาศ ตรวจสอบและรอยรั่วตามผนังฝาเพดานประตู้ช่องแสงและปิดประตู้ห้องทุกครั้งที่เปิดเครื่องปรับอากาศ
๓๒. ลดการหลีกเลี่ยงการเก็บเอกสาร หรือวัสดุใดที่ไม่ จำเป็นต้องใช้งานในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศ เพื่อลดการสูญเสียและใช้พลังงานในการปรับอากาศภายในอาคาร
๓๓. ติดตั้งฉนวนกันความร้อน โดยรอบห้องที่มีอากาศ เพื่อลดการสูญเสียพลังงานจากการถ่ายเทความร้อนเข้ามาภายในอาคาร
๓๔. ใช้มู่ลี่กันสาดป้องกันแสงแดดส่องกระทบตัวอาคารและฝาผนัง เพื่อไม่ให้เครื่องปรับอากาศทำงานหนักเกินไป
๓๕. หลีกเลี่ยงการสูญเสียพลังงานจากการถ่ายเทความร้อนเข้าสู้ห้องปรับอากาศ ติดตั้งและใช้อุปกรณ์ควบคุมการ เปิด - ปิด ประตูภายในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศ
๓๖. ควรปลูกต้นไม้รอบ ๆ อาคาร เพราะต้นไม้ขนาดใหญ่ ๑ ต้น ให้ความเย็นเท่ากับเครื่องปรับอากาศ ๑ ตัน หรือให้ความเย็นประมาณ ๑๒,๐๐๐ BTU
๓๗. ควรปลูกต้นไม้เพื่อบังแดดข้างบ้านหรือหนือหลังคาเพื่อเครื่องปรับอากาศจะไม่ต้องทำงานหนักเกินไป
๓๘. ปลูกพืชคุมดินเพื่อควบคุมความร้อยเพิ่มความชื้นให้กับดินจะทำให้บ้านเย็นไม่จำเป็นต้องเปิดเครื่องปรับอากาศเย็นจนเกินไป
๓๙. ในสำนักงานให้ปิดไฟปิดเครื่องปรับอากาศ และอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ไม่จำเป็นในช่วงเวลา ๑๒.๐๐ - ๑๓.๐๐ น. จะสามารถประหยัดไฟฟ้าได้
๔๐. ไม่จำเป็นต้องเปิดเครื่องปรับอากาศก่อนเวลาเริ่มทำงาน และควรปิดเครื่องปรับอากาศก่อนเวลาเลิกใช้งานเล็กน้อย เพื่อประหยัดไฟฟ้า
๔๑. เลือกซื้อพัดลมที่ไม่มีเครื่องหมายมาตรฐานรับรอง เพราะพัดลมที่ไม่ได้คุณภาพมักเสียง่ายทำให้สิ้นเปลือง
๔๒. หากอากาศไม่ร้อนเกินไป ควรเปิดพัดลมแทนเครื่องปรับอากาศจะช่วยประหยัดไฟ ประหยัดเงินได้มากทีเดียว
๔๓. ใช้หลอดไฟประหยัดพลังงาน ใช้หลอดผอมจอมประหยัดแทนหลอดอ้วน ใช้หลอดตะเกียบแทนหลอดไส้ หรือใช้หลอดคอมแพคท์ฟลูออเรสเซนต์
๔๔. ควรใช้หลอดประหยัดไฟหรือบัลลาสต์อิเลคโทรนิค คู่กับหลอดผอมจอมประหยัด จะช่วยเพิ่มประสิทธิ์ภาพในการประหยัดไฟฟ้าได้อีก
๔๕. ควรใช้โฟมไฟแบบมีแผ่นสะท้อนแสงในห้องต่าง ๆ เพื่อช่วยแสงสว่างจากหลอดไฟกระจายได้อย่างเต็มประสิทธิ์ภาพ ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้หลอดไฟฟ้าที่มีวัตต์สูงช่วยประหยัดพลังงาน
๔๖. หมั่นทำความสะอาดหลอดไฟที่บ้านเพราะจะช่วยเพิ่มแสงสว่างโดยไม่ต้องใช้พลังงานมากขึ้น ควรทำอย่างน้อย ๔ปี ต่อครั้ง
๔๗. ใช้หลอดไฟฟ้าที่มีวัตต์ต่ำ สำหรับบริเวณที่จำเป็นต้องเปิดทิ้งไว้ทั้งคืน ไม่ว่าจะเป็นในบ้านหรือนอกบ้าน เพื่อประหยัดไฟฟ้า
๔๘. ควรตั้งโคมไฟที่โต๊ะทำงานหรือติดตั้งเฉพาะจุดแทนการเปิดไฟฟ้าทั้งห้องเพื่อทำงานจะประหยัดไฟฟ้าลงได้มาก
๔๙. ควรใช้สีอ่อนตกแต่งอาคาร ทาผนังภายนอกอาคารเพื่อการสะท้อนแสงที่ดี และทาภายในอาคารเพื่อทำให้ห้องสว่างได้มากกว่า
๕๐. ใช้แสงสว่างจากธรรมชาติให้มากที่สุด เช่น การติดกระจกหรือติดฟิล์มที่มีคุณสมบัติป้องกันความร้อน แต่ยอมให้แสงผ่านเข้าได้เพื่อลดการใช้พลังงานเพื่อแสงสว่างภายใน อาคาร
๕๑. ถอดหลอดไฟอีกครึ่งหนึ่ง ในบิเวณที่มีความต้องการใช้แสงสว่างน้อยหรือบิเวณที่มีแสงสว่างเพียงพอแล้ว
๕๒. ปิดตู้เย็นให้สนิททำความสะอาดภายในตู้เย็น และแผ่นระบายความร้อนหลังตู้เย็น สม่ำเสมอเพื่อไม่ให้ตู้เย็นทำงานหนักและเปลืองไฟ
๕๓. อย่าเปิดตู้เย็นบ่อย ๆ อย่านำของร้อนมาแช่ในตู้เย็น เพราะจะทำให้ตู้เย็นทำงานเพิ่มขึ้นกินไฟมาก
๕๔. ตรวจสอบขอบยางประตูของตู้เย็นไม่ให้เสื่อมสภาพ เพราะจะทำให้ความเย็นรั่วออกมาได้ทำให้สิ้นเปลืองไฟมากกว่าที่จำเป็น
๕๕. เลือกขนาดตู้เย็นให้เหมาะสมกับขนาดของครอบครัว อย่าใช้ตู้เย็นใหญ่เกินความจำเป็นเพราะกินไฟเกินไป และควรตั้งตู้เย็นให้ห่างจากฝาผนังบ้าน ๑๕ ซม.
๕๖. ควรละลายน้ำแข็งในตู้เย็นสม่ำเสมอ การปล่อยให้น้ำแข็งจับหนาจนเกินไปจะทำให้เครื่องต้องทำงานหนักทำให้กินไฟมาก
๕๗. เลือกซื้อตู้เย็นประตู้เดียว เนื่องจากตู้เย็นสองประตูจะกินไฟมากกว่าตู้เย็นประตูเดียวที่มีขนาดเท่ากัน เพราะต้องใช้ท่อน้ำยาความเย็นที่ยาวกว่า และใช้คอมเพรสเซอร์ที่มีขนาดใหญ่กว่า
๕๘. ควรตั้งสวิตซ์ควบคุมอุณหภูมิของตู้เย็นให้เหมาะสม การตั้งตัวเลขต่ำเกินไปอุณหภูมิจะเย็นน้อย ถ้าตั้งที่ตัวเลขสูงจะเย็นมาก เพื่อให้ประหยัดไปพลังงานควรตั้งที่เลขต่ำที่มีอุณหภูมิที่เหมาะสม
๕๙. ไม่ควรพรมน้ำจนแฉะในเวลารีดผ้า เพราะต้องใช้ความร้อนในการรีดมาก เสียพลังงานมากขึ้น เสียค่าไฟมากขึ้นด้วย
๖๐. ดึงปลั๊กออกก่อนรีดผ้าเสร็จ เพราะความร้อนที่เหลือในเตารีดยังสามารถรีดได้ต่อจนกระทั้งเสร็จ ช่วยประหยัดไฟฟ้า
๖๑. เสียบปลั๊กครั้งเดียวต้องรีดให้เสร็จไม่ควรถอดปลั๊กและเสียบปลั๊กเตารีดบ่อย ๆ เพราะการที่ทำให้เตารีดร้อนแต่ละครั้งกินไฟมาก
๖๒. ลด ละ เลี่ยง การใส่เสื้อสูท เพราะไม่เหมาะกับสภาพอากาศเมืองร้อน สิ้นเปลืองการตัด ซักรีด และความจำเป็นในการเปิดเครื่องปรับอากาศ
๖๓. ซักผ้าด้วยเครื่องควรใส่ผ้าให้เต็มกำลังของเครื่อง เพราะซัก ๑ ตัว กับซัก ๒๐ ตัว ก็ต้องใช้น้ำเท่ากันในการซักแต่ละครั้ง
๖๔. ไม่ควรอบผ้าด้วยเครื่องเมื่อใช้เครื่องซักผ้าอยู่ เพราะเปลืองไฟมาก ควรตากเสื้อผ้ากับแสงแดดหรือแสงธรรมชาติจะดีกว่า ทั้งยังช่วยประหยัดไฟได้มากกว่า
๖๕. ปิดโทรทัศน์ทันทีเมื่อไม่มีคนดู เพราะการเปิดโทรทัศน์ทิ้งไว้โดยไม่มีคนดูเป็นการสิ้นเปลืองไฟฟ้าโดยใช่เหตุ แถมยังต้องซ่อมเร็วอีกด้วย
๖๖. ไม่ควรปรับจอโทรทัศน์ให้สว่างมากเกินไปและอย่าเปิดเสียงโทรทัศน์ดังเกินความจำเป็น เพราะเปลืองไฟและยังทำให้อายุการใช้งานสั้นลงอีกด้วย
๖๗. อยู่บ้านเดียวกันดูรายการโทรทัศน์รายการเดียวกันก็ควรดูเครื่องเดียวกันไม่ชใช่ดูคนละเครื่องคนละห้อง เพราะสิ้นเปลืองพลังงาน
๖๘. เช็ดผมให้แห้งทุกครั้งก่อนเป่าผมทุกครั้ง ใช้เครื่องเป่าผมสำหรับแต่งทรงผม ไม่ควรใช้ทำให้ผมแห้ง เพราะต้องเป่าผมนานเปลืองไฟฟ้า
๖๙. ใช้เตาแก๊สหุงต้มอาหาร ประหยัดกว่าการใช้เตาไฟฟ้า เตาอบไฟฟ้า และควรตั้งวาล์วนิรภัย ( SAFETY VALVE ) เพื่อความปลอดภัย
๗๐. เวลาหุงต้มอาหารด้วยเตาไฟฟ้า ควรจะปิดเตาก่อนอาหารสุก ๕ นาที เพราะความร้อนที่เตาจะร้อนต่ออีกอย่างน้อย ๕ นาที เพียงพอที่จะทำให้อาหารสุกได้
๗๑. อย่าเสียบปลั๊กหม้อหุงข้าวทิ้งไว้ เพราะระบบอุ่นทำงานอยู่ตลอดเวลา ทำให้สิ้นเปลืองไฟฟ้าเกินความจำเป็น
๗๒. กาต้มน้ำไฟฟ้าต้องดึงปลั๊กออกทันทีเมื่อน้ำเดือด อย่าเสียบไฟไว้เมื่อไม่มีคนอยู่ นอกจะไม่ประหยัดแล้วอาจทำให้เกิดไฟไหม้ได้
๗๓. แยกสวิตซ์ไฟออกจากกันให้สามารถ เปิด ปิด ได้เฉพาะจุดไม่ใช่ปุ่มเดียวกัน เปิดปิดทั้งชั้นทำให้เกิดการสิ้นเปลืองและสูญเปล่า
๗๔. หลีกเลียงการติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ต้องมีการปล่อยความร้อน เช่น กาต้มน้ำ หม้อหุงต้ม ไว้ในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศ
๗๕. ซ่อมบำรุงอุปกรณ์ไฟฟ้าให้อยู่ในสภาพใช้งานได้ และหมั่นทำความสะอาดเครื่องใช้ไฟฟ้าอยู่เสมอจะทำให้ลดการสิ้นเปลืองไฟได้
๗๖. อย่าเปิดคอมพิวเตอร์ไว้นานถ้าไม่ใช้งานติดตั้งระบบลดกระแสไฟฟ้าเข้าเครื่องเมื่อพักการทำงาน จะประหยัดไฟได้ร้อยละ ๓๕ - ๔๐ และถ้าหากปิดหน้าจอทันทีเมื่อไม่ใช้งานจะประหยัดไฟร้อยละ ๖๐
๗๗. ดูสัญลักษณ์ ENERGY STAR ก่อนเลือกซื้ออุปกรณ์สำนักงาน เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องโทรสาร เครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้า เครื่องถ่ายเอกสาร ฯลฯ ซี่งจะช่วยประหยัดพลังงานลดการใช้กำลังไฟฟ้า เพราะมีระบบประหยัดไฟฟ้าอัตโนมัติ
วิธีประหยัดน้ำ
๗๘. ใน้ำอย่างประหยัดหมั่นตรวจสอบการรั่วไหลของน้ำเพื่อลดการสูณเสียน้ำอย่างเปล่าประโยชน์
๗๙. ไม่ควรปล่อยให้น้ำไหลตลอดเวลาตอนล้างหน้า แปรงฟัน โกนหนวด และถูสบู่ตอนอาบน้ำไปโดยเปล่าประโยชน์นาทีละหลาย ๆ ลิตร
๘๐. ใช้สบู่เหลวแทนสบู่ก้อนเวลาล้างมือเพราะการใช้สบู่ก้อนล้างมือเพราะการใช้สบู่ก้อนล้างมือจะใช้เวลามากกว่าการใช้สบู่เหลวที่ไม่เข้มข้น จะใช้น้ำน้อยกว่าการล้างมือด้วยสบู่เหลวที่เข้มข้น
๘๑. ซักผ้าด้วยมือ ควรกรองน้ำใส่กะละมังแค่พอใช้ อย่าเปิดน้ำไหลตลอดเวลาซัก เพราะสิ้นเปลืองมากกว่าการซักโดยวิธีการขังน้ำ ไว้ในกะละมัง
๘๒. ใช้ SPRINKLER หรือฝักบัวลดน้ำต้นไม้แทนการฉีดน้ำด้วยสายยาง จะประหยัดน้ำได้มากกว่า
๘๓. ไม่ควรใช้สายยางและเปิดน้ำไหลตลอดเวลาในขณะที่ล้างรถ เพราะจะใช้น้ำถึง ๔๐๐ ลิตร แต่ถ้าล้างด้วยน้ำและฟองน้ำในกระป๋อง หรือภาชนะบรรจุน้ำจะลดการใช้น้ำได้มากถึง ๓๐๐ ลิตรต่อการล้าง ๑ ครั้ง
๘๔. ไม่ควรล้างรถบ่อยครั้งจนเกินไป เพราะนอกจากจะมีความสิ้นเปลืองน้ำแล้วยังทำให้เกิดสนิมที่ตัวถังได้ด้วย
๘๕. ตรวจสอบท่อน้ำรั่วภายในบ้าน ด้วยการปิดก๊อกน้ำทุกตัวภายในบ้ายหลังจากที่ทุกคนเข้านอนจดหมายเลข วัดน้ำไว้ ถ้าตอนเช้ามาตรเคลื่อนที่โดยที่ยังไม่มีใครเปิดน้ำใช้ ก็เรียกช่างมาตรวจซ่อมได้เลย
๘๖. ควรล้างพืชผักและผลไม้ในอ่างหรือภาชนะที่มีการกักเก็บน้ำไว้เพียงพอ เพราะการล้างน้ำที่ไหลออกจากก๊อกน้ำโดยตรง จะใช้น้ำมากกว่าการล้างด้วยน้ำที่บรรจุไว้ในภาชนะถึงร้อยละ ๕๐
๘๗. ตรวจสอบชักโครก ว่ามีจุดรั่วซึมหรือไม่ต้องให้ลองหยดสีผสมอาหารลงในถังพักน้ำแล้วสังเกตดูที่คอห่านหากมีน้ำสีลงมาโดยที่ไม่ได้กดชักโครกให้รีบจัดการซ่อมได้เลย
๘๘. ไม่ใช้ชักโครกที่เป็นเศษอาหาร กระดาษ สารเคมี เพราะจะทำให้สูญเสียน้ำจากการกดชักโครกเพื่อไล่สิ่งของลงท่อ
๘๙. ใช้อุปกรณ์ประหยัดน้ำ เช่น ชักโครก ประหยัดน้ำ ฝักบัวประหยัดน้ำ ก๊อกประหยัดน้ำ หวัฉีดประหยัดน้ำเป็นต้น
๙๐. ติด AREATOR หรืออุปกรณ์เติมอากาศให้แก่น้ำที่ไหลออกจากหัวก๊อก ลดปริมาณการไหลของน้ำช่วยประหยัด
๙๑. ไม่ควรลดน้ำต้นไม้ตอนแดดจัด เพราะน้ำจะระเหยหมดไปเปล่า ๆ ให้ลดน้ำตอนเช้าที่อากาศยังเย็นอยู่ การระเหยจะต่ำกว่า ช่วยให้ประหยัดน้ำ
๙๒. อย่าทิ้งน้ำดื่มที่เหลือในแก้วโดยไม่ได้ประโยชน์อะไร ใช้ลดน้ำต้นไม้ ใช้ชำระพื้นผิวใช้ชำนะความสะอาดสิ่งต่าง ๆ ได้อีกมาก
๙๓. ควรใช้เหยือกน้ำกับแก้วเปล่าในการบริการน้ำดื่ม และผู้ที่ต้องการดื่มรินน้ำดื่มเอง และควรดื่มให้หมดทุกครั้ง
๙๔. ล้างจานในภาชนะที่ขังน้ำไว้จะประหยัดน้ำได้มากกว่าการล้างจานด้วยวิธีการปล่อยน้ำไหลจากก๊อกตลอดเวลา
๙๕. ติดตั้งระบบน้ำให้สามารถใช้ประโยชน์จากการเก็บ และจ่ายน้ำตามแรงโน้มถ่วงโลกเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้พลังงานไปสูบและจ่ายน้ำภายในอาคาร
วิธีการประหยัดไฟอื่น ๆ
๙๖. อย่าใช้กระดาษหน้าเดียวทิ้ง ให้ใช้กระดาษอย่างคุ้มค่าใช้ทั้งสองหน้าให้นึกเสมอว่ากระดาษแต่ละแผ่นมีค่าหมายถึงต้นไม้หนึ่งที่ต้องเสียไป
๙๗. ในสำนักงานให้ใช้การส่งเอกสารต่อ ๆ กันแทนการสำเนาเอกสารหลาย ๆ ชุด เพื่อประหยัดพลังงานและกระดาษ
๙๘. ลดการศูนย์เสียกระดาษเพิ่มมากขึ้นด้วยการหลีกเลี่ยงการใช้กระดาษปะหน้าโทรสารชนิดเต็มแผ่น และหันมาใช้กระดาษเล็กที่สามารถตัด พับบนโทรสารได้ง่าย
๙๙. ใช้การส่งผ่านข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ผ่าน ระบบคอมพิวเตอร์โดยโมเด็ม หรือแผ่นดิสก์ แทนการส่งข่าวสารข้อมูลเอกสาร ช่วยลดขั้นตอนการทำงาน ลดการใช้พลังงานได้มาก
๑๐๐. หลีกเลียงการใช้จานกระดาษ แก้วน้ำกระดาษ เวลาจัดงานสรรค์ต่าง ๆ เพราะสิ้นเปลืองพลังงานในการผลิต
๑๐๑. รู้จักแยกแยะประเภทของขยะ เพื่อช่วยลดขั้นตอนและลดพลังงานในการทำลายขยะ ทำให้ขยะทั้งหลายง่ายต่อการกำจัด
๑๐๒. หนังสือพิมพ์อ่านเสร็จแล้วอย่าทิ้ง ให้เก็บไว้ขาย หรือพับถุง เก็บไว้ทำอะไรอย่างอื่น ใช้ซ้ำทุกครั้งถ้าทำได้ ช่วยลดการใช้พลังงานในการผลิต
๑๐๓. ขึ้นลงชั้นเดียวหรือสองชั้น ไม่จำเป็นต้องใช้ลิฟท์ จำไว้เสมอว่าการกดลิฟท์ จำไว้เสมอว่าการกดลิฟท์แต่ละครั้งสูญเสียพลังงานถึง ๗ บาท
๑๐๔. งด เลิก บริโภคผลิตภัณฑ์ที่ใช้แล้วทิ้งเลยเพราะเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานในงานในการผลิต ใช้ทรัพยากรธรรมชาติสิ้นเปลือง เพิ่มปริมาณขยะเปลืองพลังงานในการกำจัดขยะ
๑๐๕. ลดการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีการบรรจุภัณฑ์ที่ยากต่อการทำลาย เช่น โฟม หรือ พลาสติกควรเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ ( REUSE ) หรือนำไปผ่านกระบวนการผลิตมาใช้ใหม่ ( RECYCLE )
๑๐๖. สนับสนุนสินค้าที่มีบรรจุภัณฑ์ เป็นวัสดุที่สามารถนำมาผ่านกระบานการนำมาใช้ใหม่ ( CYCLE )
เช่น แก้ว กระดาษ โลหะ พลาสติก บางประเภท โดยจัดให้มีการแยกขยะในครัวเรือนและในสำนักงาน
๑๐๗. ให้ความร่วมมือสนับสนุน หรือเข้าร่วมกิจกรรมกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนที่รณรงค์ ส่งเสริมให้มีการอนุรักษ์พลังงาน
๑๐๘. กระตุ้นเตือนให้ผู้อื่นช่วยกันประหยัด โดยการติดสัญลักษณ์ หรือเครื่องหมายให้ช่วยประหยัดไฟตรง บริเวณใกล้สวิทซ์ไฟ เพื่อเตือนให้ปิดเมื่อเลิกใช้แล้ว

คนไทยทุก ๆ คน สามารถช่วยชาติได้ด้วยการประหยัดพลังงาน ซึ่งนอกจาก ๑๐๘ วิธีประหยัดพลังงานแล้วยังมีวิธีอื่น ๆ อีกมากมายที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่ประเทศต้องเสียไปอย่างมากมายมหาศาลในแต่ละปีอย่างไรก็ดี ๑๐๘ วิธีประหยัดพลังงานนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นให้คนไทยรู้จักคุณค่าพลังงกานอย่างระมัดระวังไม่ให้รั่ไหลสูญเปล่าอีกต่อไปด้วยวิธีการปฏิบัติอย่างง่าย ๆ ทำทันทีและดีที่สุดก็คือการปฏิบัติเคยชินจนเป็นนิสัยเป็นกิจวัตรสืบไปเพื่อชาติของเราจะไม่ต้องพบกับคำว่าวิกฤติเศรษฐกิจหรือวิกฤติพลังงานอีกต่อไป

http://www.geocities.com/psyopth/saver.html

ลดภาวะโลกร้อน



10 วิธีในการช่วยลดภาวะโลกร้อน



1. ต้องยอมรับก่อนว่า สาเหตุของการเกิดภาวะโลกร้อนมิได้มาจากประเทศอุตสาหกรรมหรือประเทศพัฒนาแล้วเป็นหลัก แต่เราทุกคนบนพื้นผิวโลก รวมทั้งคนไทยด้วย ต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของต้นเหตุให้เกิดภาวะโลกร้อน เพราะการใช้ชีวิตประจำวันของเรา ไม่ว่าจะเป็นการใช้ไฟฟ้า การเดินทาง การขนส่ง การบริโภค การสร้างที่พักอาศัย การซื้อของ ล้วนมีส่วนสำคัญในการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ

2. ประหยัดการใช้พลังงานทุกชนิด โดยเฉพาะไฟฟ้า เพราะเชื้อเพลิงสำคัญในการผลิตไฟฟ้า คือ น้ำมัน ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ ล้วนแต่ปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ก่อภาวะเรือนกระจกทั้งสิ้น เลือกอุปกรณ์ประหยัดไฟฟ้า เช่นเปลี่ยนมาใช้หลอดประหยัดพลังงาน
เพราะหลอดไฟที่ใช้กันอยู่ทั่วไปเปลี่ยนพลังงานเพียงร้อยละ 10 เท่านั้นให้เป็นแสงสว่าง
ส่วนพลังงานอีกร้อยละ 90 สูญเสียไปในรูปของความร้อน และถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดเมื่อเลิกใช้งาน

3. หลีกเลี่ยงการใช้รถยนต์ส่วนตัว เพื่อเป็นการประหยัดการใช้น้ำมัน ถ้าไม่จำเป็นควรหลีกเลี่ยงการโดยสารเครื่องบิน ดังที่รายงานของสถาบันสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศแนะนำว่า ควรใช้บริการรถไฟสำหรับการเดินทางในระยะทางไม่เกิน 640 กิโลเมตร ซึ่งจะช่วยลดจำนวนเที่ยวบินลงได้ถึงร้อยละ 45 และบรรดานักธุรกิจควรใช้ระบบการประชุมผ่านวิดีโอแทนการให้พนักงานขึ้นเครื่องบินไปร่วมการประชุม

4. คิดก่อนจะซื้อสิ่งของ เพราะการผลิตและการขนส่งสินค้าเกือบทุกชนิดล้วนแต่ใช้พลังงานทั้งสิ้น ก่อนจะซื้ออะไรลองถามตัวเองว่า สิ่งนั้นจำเป็นเพียงใด หรือลองเปลี่ยนจากการซื้อของใหม่เป็นการซ่อมหรือใช้ของมือสองแทน

5. ลดการกินทิ้งกินขว้าง เพราะเศษอาหาร และของที่บูดเน่า เมื่อไปทับถมอยู่ที่กองขยะ
จะกลายเป็นแหล่งผลิตก๊าซมีเทน ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญอีกตัวหนึ่ง

6. บริโภคของที่ผลิตในประเทศ เพราะการซื้อสินค้าจากต่างประเทศย่อมต้องสิ้นเปลืองพลังงานในการขนส่ง การกินอาหารท้องถิ่น จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจกว่า เช่นหันมากินปลาทูแทนปลาแซลมอน เพราะนอกจากราคาถูก และทำให้เงินทองไม่รั่วไหลออกนอกประเทศแล้ว ยังช่วยลดภาวะโลกร้อนได้อีกด้วย

7. พกขวดน้ำติดตัวไปด้วยระหว่างการเดินทาง ขวดน้ำพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวสิ้นเปลืองพลังงานในการผลิตมหาศาล แถมยังทำให้เกิดขยะล้นโลก และในการกำจัดขยะก็ต้องใช้พลังงานอีกต่างหาก

8. หลีกเลี่ยงการใช้ถุงพลาสติก เพราะการผลิตถุงพลาสติกใช้พลังงานอย่างมหาศาล
ถ้าให้ดีนำถุงผ้าจากบ้านติดตัวไปด้วยเวลาซื้อของตามร้านค้า หากไม่จำเป็นควรบอกพนักงานขายว่าไม่เอาถุงพลาสติก เพราะเมื่อนำกลับบ้านแล้วคนส่วนใหญ่จะทิ้งลงถังขยะ ในประเทศสหรัฐอเมริกาใช้ถุงพลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง ถึงปีละ 1 แสนล้านใบ

9. ประหยัดการใช้กระดาษ อุตสาหกรรมการผลิตกระดาษ ใช้พลังงานมากเป็นอันดับ 4 ทั้งยังก่อมลพิษทางน้ำ เป็นต้นเหตุของการทำลายป่าไม้ ซึ่งเป็นตัวดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่สำคัญด้วย

10. สนับสนุนการซื้อสินค้าจากบริษัทผู้ผลิต ที่สนใจปัญหาสิ่งแวดล้อม หรือลงทุนซื้อหุ้นในบริษัท ที่มีส่วนในการรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นกำลังใจให้แก่ผู้ผลิต ที่อยากมีส่วนในการปกป้องโลก และเลิกสนับสนุนสินค้า ของบริษัทที่ก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม

http://www.eduzones.com/knowledge-2-5-49173.html

วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2552

นำ slide มาโพสต์ใน blog

วิธีการ

1. ไปที่ http://www.slide.com/















2. คลิกที่
slideshow











3.ผลจะปรากฏการ สร้างการเเสดงของภาพ slide
ตกเเต่งได้ตามต้องการ









4. นำรูปที่เราต้องการให้เเสดงใน สไลด์ โดยไปที่ browse เเล้วเลือกภาพ







จากนั้นอัฟโหลดไฟด์ ภาพก็จะเเสดงในสไลด์โชว์







เมื่ออับโหลดไฟด์เสร็จสิ้น จะปรากฏภาพที่เราอัปโหลดอยู่ใน สไลด์
เเละเราสามารถลาก เพื่อจัดลำดับภาพใหม่ หรือเพิ่มคำบรรยายภาพได้








5. เมื่อเรียบร้อยเเล้วกด บันทึกเพื่อรับรหัส จะปรากฎดังนี้
จากนั้นเพิ่มรายละเอียดของ สไลด์โชว์





6.กดบันทึกสไลด์โชว์ จะเห็ว่ามีโค้ตให้ copy









เเต่เราต้องเลือกโค้ตสำหรับ
blog ก่อน








7. copy โค้ต เพื่อนำไปเพิ่มในบทความใหม่ใน blog ของท่าน





8. ไป blog ของท่าน เพิ่มบทความใหม่
เเล้วนำโค้ตที่ได้มาวาง










9.เผยเเพร่บทความ ก็จะได้ สไลด์สวยๆ
ไว้ดูกันน่ะค่ะ









ความรู้เรื่องโลหิต

โรคไวรัสตับอักเสบ
ในปัจจุบันนี้ มีคนจำนวนมากคิดว่าโรคที่ติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ และเลือดที่ร้ายแรงและเป็นอันตรายนั้นมีเฉพาะโรคเอดส์ แต่อีกหลายคนคงจะไม่ทราบว่าโรคไวรัสตับอักเสบ บี ไวรัสตับอักเสบ ซี สามารถติดเชื้อได้จากทางนี้เช่นกัน ถึงแม้จะมีความรุนแรง และอันตรายไม่เท่ากับโรคเอดส์ แต่ถ้าไม่ทำการรักษาพยาบาลอย่างถูกต้อง ก็อาจถึงกับเสียชีวิตได้

โรคไวรัสตับอักเสบ เป็นโรคที่พบได้บ่อยในประเทศไทย ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า “โรคตัวเหลืองตาเหลือง หรือโรคดีซ่าน” เชื้อไวรัสตับอักเสบมีมานานแล้ว แต่มาค้นพบเมื่อการแพทย์เจริญมากขึ้น เชื้อไวรัสตับอักเสบที่ค้นพบขณะนี้คือ เชื้อไวรัสตับอักเสบ เอ, เชื้อไวรัสตับอักเสบ บี, เชื้อไวรัสตับอักเสบ ดี และเชื้อไวรัสตับอักเสบที่ไม่ใช่เอและบี ภายหลังได้ชื่อว่า “ไวรัสตับอักเสบ ซี และไวรัสตับอักเสบ อี”

อาการของโรคไวรัสตับอักเสบ
เชื้อไวรัสตับอักเสบที่เรียกชื่อแตกต่างกันนั้น โดยทั่วไปพบว่ามีอาการคล้ายคลึงกัน คือจะมีอาการอ่อนเพลียนำมา มีไข้ต่ำๆ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน แน่นท้อง ท้องอืด เจ็บบริเวณชายโครงขวา ตัวเหลือง ตาเหลือง โดยทั่วไปแล้ว อาการของโรคตับอักเสบอาจปรากฏอยู่ 2-3 สัปดาห์ จากนั้นค่อยๆ ลดลงจนหายเป็นปกติ ภายใน 4-6 สัปดาห์
โรคตับอักเสบบางชนิดอาจหายขาดได้ บางชนิดอาจเป็นเรื้อรังไปอีกหลายปี หรืออาจเกิดผลแทรกซ้อนตามมาในระยะยาว

โรคไวรัสตับอักเสบ บี

ผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี จะมีระยะฟักตัวของโรค ภายในเวลา 30-150 วัน โดยผู้ป่วยอาจจะมีอาการไข้ต่ำๆ ปวดข้อ ต่อมน้ำเหลืองโต หรือมีลมพิษเกิดขึ้นก่อนที่อาการตาเหลือง ตัวเหลืองจะปรากฏชัดเจน ผู้ที่ตรวจพบไวรัสตับอักเสบ บี มักจะไม่ค่อยกลัวและวิตกกังวลเท่าไร เพราะว่าถ้าได้รับการพักผ่อนเพียงพอ และได้รับการรักษาจากแพทย์อย่างถูกต้อง ดูแลสุขภาพตัวเอง ไม่ดื่มสุราจัด หรือใช้ชีวิตสมบุกสมบัน อะไรที่เป็นพิษเป็นภัยกับตับควรละเว้น สภาพตับจะดีขึ้น จะมีอันตรายก็ต่อเมื่อ ผู้ที่ได้รับเชื้อเข้าไปแล้วไม่ไปรับการรักษาพยาบาลอย่างสม่ำเสมอ หายแล้วก็ไม่ค่อยระวัง โรคอาจจะกลับมาอีก คราวนี้จะมีความรุนแรงอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้

โรคไวรัสตับอักเสบ ซี

โรคไวรัสตับอักเสบ ซี เกิดมานานแล้ว แต่ยังค้นไม่พบ สมัยก่อนเมื่อเห็นตัวเหลืองตาเหลืองก็จะตรวจเลือด แต่ผลจากการตรวจเลือดพบว่าไม่ใช่ไวรัส เอ หรือไวรัส บี ช่วงแรกจึงเรียกว่าไวรัสตับอักเสบไม่ใช่เอไม่ใช่บี ต่อมาประมาณปลายปี 2532 ได้มีน้ำยาตรวจสอบจึงพบไวรัสตัวหนึ่ง ในส่วนของไวรัสตับอักเสบ ไม่ใช่เอและไม่ใช่บี คือไวรัสตับอักเสบ ซี นั่นเอง
อาการของโรคไวรัสตับอักเสบ ซี ก็เหมือนกับโรคไวรัสตับอักเสบ บี คือเมื่อได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี เข้าไปจะใช้ระยะเวลาฟักตัว 6 สัปดาห์ ถึง 6 เดือน อาการที่พบจะรุนแรงหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับสภาวะของผู้ติดเชื้อ ความรุนแรงของเชื้อที่พบใกล้เคียงกัน ผลจากการแทรกซ้อนสามารถทำให้เกิดโรคตับเรื้อรังได้เช่นเดียวกัน

การติดต่อของโรคไวรัสตับอักเสบ บี และโรคไวรัสตับอักเสบ ซี

โรคไวรัสตับอักเสบ บี และโรคไวรัสตับอักเสบ ซี จะแพร่เชื้อโรคไปยังผู้อื่นได้โดย

-การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี สำหรับโรคไวรัสตับอักเสบ ซี นั้น จากการศึกษา ขณะนี้พบว่าการติดต่อทางเพศสัมพันธ์เกิดขึ้นน้อยมาก

-ทางเลือด โดยการสัมผัสเลือดของผู้ป่วย เช่น ถูกเข็มที่ใช้เจาะเลือดหรือฉีดยาผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัสอยู่ตำหรือแทงโดยอุบัติเหตุที่มือ หรือผิวหนังมีแผลถลอกแล้วไปสัมผัสกับเลือดของผู้ป่วย

-แม่สู่ลูก คือแม่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ในขณะตั้งครรภ์เมื่อคลอดลูก ลูกจะได้สัมผัสกับเลือดของแม่ในช่องคลอด จึงมีโอกาสติดเชื้อได้ แต่ไวรัสตับอักเสบ ซี ยังไม่มีรายงานว่าติดต่อได้ทางนี้

ความรุนแรงของโรค

โรคไวรัสตับอักเสบ บี โรคนี้ถ้าอยู่ในร่างกายเป็นเวลานาน จะมีอาการของโรคตับอักเสบเรื้อรังได้ ในบางรายอาจเป็นตับแข็ง บางรายอาจมีอาการอาเจียนหรือถ่ายเป็นเลือด บางรายอาจเปลี่ยนเป็นมะเร็งของตับ สำหรับเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี มีข้อได้เปรียบกว่าโรคไวรัสตับอักเสบ ซี คือมีวัคซีนป้องกัน ฉะนั้นสามี ภรรยา หรือบุตรของผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี สามารถฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อได้ และยังช่วยป้องกันการแพร่เชื้อกับบุคคลภายนอกในครอบครัวหรือคนอื่นอีกด้วย
โรคไวรัสตับอักเสบ ซี ยังไม่มีวัคซีนป้องกันความรุนแรงของโรคใกล้เคียงกัน ผลจากการแทรกซ้อนสามารถทำให้เกิดโรคตับเรื้อรังได้เช่นเดียวกัน

การป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ บี โรคไวรัสตับอักเสบ ซี
*ใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้องทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
*ไม่ใช้ของมีคมร่วมกับผู้อื่น

โรคไวรัสตับอักเสบ บี และโรคไวรัสตับอักเสบ ซี รวมทั้งโรคอื่นๆ ที่สามารถติดเชื้อได้ทางเพศสัมพันธ์และทางเลือดบางชนิด เช่นโรคซิฟิลิส ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย และสาขาบริการโลหิตทั่วประเทศ งดรับบริจาคโลหิตจากผู้ที่ติดเชื้อไวรัสเหล่านี้

โลหิตทุกยูนิตที่ได้รับบริจาค จะได้รับการตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ไวรัสตับอักเสบ ซี
เชื้อเอชไอวี ซิฟิลิส ตรวจหมู่โลหิต ก่อนที่จะนำไปจ่ายให้กับโรงพยาบาล


http://http://www.webthaigointer.com/nbc.in.th/index.asp?contentID=10000004&title=%E2%C3%A4%E4%C7%C3%D1%CA%B5%D1%BA%CD%D1%A1%E0%CA%BA+&getarticle=36&keyword=&catid=3

ไข้หวัดหมู

ช็อกโลก'ไข้หวัดหมู'อาละวาดหนักป่วยตายเพียบ!...


โผล่มาอีกแล้วมหันตภัยโรคร้ายสายพันธุ์ใหม่ “ไข้หวัดหมู” ชนิดเอสายพันธุ์ H1N1 ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับ “ภาวะโลกร้อน” หรือไม่ แต่เดี๋ยวนี้ลุกลามสร้างความหวาดผวาไปหลายประเทศทั่วโลก ในมณฑลเสฉวน สาธารณรัฐประชาชนจีน มีผู้ป่วยโรคนี้เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 36 ศพ และแพร่ระบาดอย่างหนักไปยังทวีปต่าง ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ ในประเทศเม็กซิโกมีผู้สังเวยมากกว่า 100 ศพ และมีผู้ติดเชื้อร้ายนี้มากกว่า 1,300 คน ในสหรัฐอเมริกามีการตรวจพบเชื้อแล้วหลายคน จนองค์การอนามัยโลก (WHO) ต้องออกมาเตือนอันตราย โดยหลายประเทศเริ่มตื่นตัวคุมเข้มสนามบินและการนำเข้าเนื้อหมูหรือเนื้อสุกรกันอย่างเข้มงวด ในประเทศไทย นายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข ออกมายืนยันกับประชาชนว่ายังไม่พบเชื้อไข้หวัดหมูแพร่ระบาดแต่อย่างใด โดยจากการเฝ้าระวังโรคของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ตั้งแต่ต้นปี 2552-ปัจจุบัน มีเพียงผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ธรรมดา 3,159 ราย ไม่มีใครเสียชีวิต อย่างไรก็ตาม ได้สั่งการให้เฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเตรียมพร้อมรับมือรวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจวินิจฉัยโรค การดูแลรักษาพยาบาลผู้ป่วย การเตรียมเครื่องมือและเวชภัณฑ์ และประสานงานกับองค์การอนามัยโรค (WHO) และศูนย์ป้องกันควบคุมโรคแห่งชาติสหรัฐอเมริกาอย่างใกล้ชิดแล้ว แม้นั่นจะเป็นการการันตีจากกระทรวงสาธารณสุขของประเทศไทยว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเกี่ยวกับโรคไข้หวัดหมู ที่กำลังแพร่ระบาดไปทั่วโลก แต่ก็ประมาทไม่ได้เด็ดขาด เพราะความประมาทเป็นหนทางแห่งความหายนะ ซึ่งเคยมีบทเรียนมาแล้วเช่นกรณี “ไข้หวัดนก” ที่ระบาดคร่าชีวิตสัตว์เลี้ยงและผู้คนไปไม่น้อย กว่ารัฐบาลจะยอมเปิดเผยข้อมูลก็เกือบจะสายเกินไป จากรายงานทางการแพทย์พบว่าในประเทศไทยมีการพบเชื้อลักษณะคล้าย “ไข้หวัดหมู” สายพันธุ์ใกล้เคียงกันมีชื่อว่า สเตรปโตคอก คัส ซูอิส ไทป์ II หรือ Streptococcus suis type II มานานเกือบ 20 ปีแล้ว โดยพบการติดต่อสู่คนทำงานในฟาร์มเลี้ยงสุกร โรงฆ่าสัตว์ พ่อค้าแม่ค้าขายเนื้อสุกรชำแหละและผู้นิยมบริโภคเนื้อสุกรสุก ๆ ดิบ ๆ ในอาหารจำพวกลาบดิบ หลู้ดิบ ลาบเลือดสด ๆ เพียงแต่ความรุนแรงของโรคนี้ไม่น่ากลัวเหมือนในสาธารณรัฐประชาชนจีน อาจเป็นคนละสายพันธุ์ แต่ถือว่าเป็นโรคที่เสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูงมากในปัจจุบัน ผู้เชี่ยวชาญของกรมปศุสัตว์บางคน ยอมรับว่า การแพร่ ระบาดของโรคไข้หวัดหมูนี้ในไทยมีโอกาสระบาดและปกติก็มีเชื้อไวรัสคล้าย ๆ กันอยู่แล้ว เป็นเรื่องที่พบเห็นได้ตามปกติในสุกรของไทย หากสถานที่เลี้ยงสกปรกไม่ได้มาตรฐานโอกาสที่เชื้อที่มีอยู่ตามธรรมชาติจะแพร่ระบาดก็มีสูง แต่ในประเทศไทยมีการควบคุมด้วยยาปฏิชีวนะทำให้การระบาดของโรคอยู่ในวงจำกัด แต่เพื่อความไม่ประมาทกรมปศุสัตว์ได้ส่งหนังสือแจ้งไปยังสำนักงานปศุสัตว์ทั่วประเทศให้เฝ้าระวังและเก็บตัวอย่างมาศึกษา โดยเฉพาะกรณีลูกสุกรตายไม่ทราบสาเหตุรวมทั้งเร่งประชาสัมพันธ์ไปยังกลุ่มผู้เลี้ยงสุกรให้รู้จักวิธีป้องกันตัวเองจากโรคนี้ด้วย นอกจากนี้กรมปศุสัตว์ยังมีแนวคิดเร่งปรับปรุงมาตรฐาน โรงฆ่าสัตว์ให้เป็นสากล เนื่องจากโอกาสที่คนฆ่าสุกรและคนขายเนื้อสุกรมีโอกาสติดเชื้อสูงกว่าผู้บริโภค แต่ก็มีปัญหาในทางปฏิบัติ ผู้ประกอบการโรงฆ่าสัตว์ส่วนใหญ่ไม่ยอมลงทุนและปัจจุบันโรงฆ่าสัตว์อยู่ภายใต้การดูแลขององค์กรส่วนท้องถิ่น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับกรมปศุสัตว์โดยตรง ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการบริหารจัดการให้เป็นระบบ มีรายงานตัวเลขของผู้ป่วยที่ติดเชื้อ สเตรปโตคอกคัส ซูอิส ไทป์ II ที่เคยเข้ารักษาที่โรงพยาบาลของรัฐในแห่งหนึ่งที่กรุงเทพฯ ในปี 2548 จนถึงปัจจุบันมีจำนวน 5 ราย ทำให้ผู้เกี่ยวข้องประเมินสถานการณ์ว่าแม้ปริมาณผู้ป่วยจะไม่มากนักและเชื้อเป็นคนละสายพันธุ์ แต่เป็นสัญญาณที่ไม่ดี ย้อนกลับไปในปี 2547 มีผู้ป่วยโรคนี้เข้ารักษาตัว 2 ราย ปี 2544 มีประมาณ 9 ราย และปี 2543 มีประมาณ 8 ราย และภาวการณ์ติดเชื้อรุนแรงที่สุด 20-30% และอายุเฉลี่ยคนไข้มีตั้งแต่ 1 เดือน-75 ปี สรุปได้ว่า เด็ก คนแก่ และวัยทำงาน มีโอกาสติดเชื้อโรคนี้ได้ทั้งสิ้น ลักษณะอาการของผู้ติดเชื้อสเตรปโต คอกคัส ซูอิส ไทป์ II ซึ่งน่าจะเป็นสายพันธุ์ใกล้เคียงกับในเม็กซิโกจะคล้ายคนเป็นไข้หวัดปกติ แต่จะมีอาการท้องเสีย เจ็บคอ ปวดเมื่อย ตามร่างกาย ปวดศีรษะ หนาวและไม่มีแรง อ่อนล้า ปนอยู่ด้วย ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการท้องเสียและอาเจียนร่วมกัน ในอดีตมีรายงานอาการผู้ป่วยเป็นปอดบวม ระบบหายใจล้มเหลวและเสียชีวิตในที่สุดและระยะเวลาของการติดเชื้อไม่ทราบแน่ชัด แต่คาดว่าใช้เวลาประมาณ 7 วัน รอจนเชื้อฟักตัวได้ที่ก่อนแสดงอาการ สัญญาณเตือนอันตราย หากผู้ป่วยเป็นเด็ก ให้สังเกตการหายใจหรือหายใจลำบาก ผิวหนังจะเป็นจ้ำสีน้ำเงิน ดื่มน้ำน้อย ปลุกไม่ค่อยตื่นหรือไม่มีอาการตอบสนอง หรือชอบงอแงไม่ให้อุ้ม มีไข้เฉียบพลัน หรือเป็นหวัด ไออย่างรุนแรง หากพบเห็นอาการเหล่านี้อย่าไว้ใจ ให้รีบพาไปพบแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญในทันที โอกาสของการได้รับเชื้อโรคร้าย สามารถรับได้ทุกที่ทุกเวลาและทุกโอกาส ทางแรกคือเกิดจากการสัมผัสกับสุกรที่ติดเชื้อหรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปนเปื้อนด้วยเชื้อไวรัสอันตราย ทางที่สองเกิดจากการสัมผัสระหว่างคนกับคนที่มีเชื้อในร่างกาย หรือรับเชื้อจากการไอที่ แพร่กระจายทางอากาศ ซึ่งการระบาดของเชื้อจากคนสู่คนมีโอกาสพอ ๆ กับเชื้อระบาดจากสุกรสู่คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงอุณหภูมิและสภาพแวดล้อมเหมาะสมแก่การเจริญเติบโตของไวรัส การรักษาโรคนี้ตามมาตรฐานสากล ผู้เชี่ยวชาญหรือแพทย์ในปัจจุบันจะนิยมใช้ตัวยาประเภท Oseltamivir หรือ Zanamivir ซึ่งผู้ป่วยไม่ควรไปหาซื้อยามารับประทานกันเอง เพราะอาจทำให้เชื้อโรคดื้อยาและทำให้ยากแก่การรักษามากกว่าเดิม หากอาการหนักเกินไป ผู้เชี่ยวชาญจะใช้ ยาต้านไวรัส (Antivirus drug) ทั้งยาเม็ด ยาน้ำและยาชนิดสูดดมทำการรักษาเพื่อให้ผู้ป่วยอาการดีขึ้น อย่างไรก็ตามหากใครป่วยโรคไข้หวัดหมูหรือป่วยด้วยเชื้อโรคสายพันธุ์ใกล้เคียงกัน ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนในการรักษา ผู้ป่วยหรือคนปกติต้องใช้ความระมัดระวังป้องกันตัวเองจากเชื้อโรคเอาเอง และการป้องกันโรคระบบทางเดินหายใจก็เป็นหนทางหนึ่งที่สามารถนำมาใช้ป้องกันโรคนี้ได้ แน่นอนว่าคงไม่มีใครอยากป่วย ไม่ว่าเป็นโรคอะไรก็ตาม.

http://news.impaqmsn.com/articles_hn.aspx?id=260962&ch=hn

วันอังคารที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2552

อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย










อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย อยู่ตรงข้ามพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง ห่างจากตัวจังหวัดสุโขทัยไปทางทิศตะวันตกประมาณ ๑๒ กิโลเมตร ถนนจรดวิถีถ่อง ทางหลวงหมายเลข 12 สายสุโขทัย-ตาก
ในอดีตเมืองสุโขทัยเคยเป็นราชธานีของไทยมีความเจริญรุ่งเรือง เป็นศูนย์กลางการปกครอง ศาสนา และเศรษฐกิจ ภายในอุทยานฯ มีสถานที่สำคัญที่เป็นพระราชวัง ศาสนสถาน โบราณสถาน โดยมีคูเมือง กำแพงเมือง และประตูเมืองโบราณล้อมรอบอยู่ในรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส
บริเวณพื้นที่อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยครอบคลุมพื้นที่กว่า 70 ตารางกิโลเมตร และมีโบราณสถานสำคัญที่น่าชมมากมาย
อัตราค่าเข้าชม นักท่องเที่ยว ชาวไทย 10 บาท ชาวต่างชาติ 40 บาท หรือสามารถซื้อตั๋วรวมได้ ชาวไทย 30 บาท ชาวต่างชาติ 150 บาท โดยบัตรนี้สามารถเข้าชมอุทยานฯ ต่าง ๆ ในจังหวัดสุโขทัยได้ ภายในระยะเวลา 30 วัน เปิดให้ เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 06.00-21.00 น. (ปิดจำหน่ายบัตรเวลา 18.00 น.) หมายเหตุ ตั้งแต่เวลาประมาณ 19.00-21.00 น. จะมีการส่องไฟชมโบราณสถาน
ในกรณีที่นำยานพาหนะเข้าเขตโบราณสถานจะต้องเสียค่าธรรมเนียมอีกด้วย และที่บริเวณลานจอดรถของอุทยานฯ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวมีบริการ รถราง นำชมรอบ ๆ บริเวณอุทยานฯ อัตราค่าบริการ นักท่องเที่ยว ชาวไทย 10 บาท ชาวต่างชาติ 20 บาท นอกจากนั้นที่บริเวณด้านหน้าอุทยานฯ มีบริการ รถจักรยาน ให้เช่าในราคาคันละ 20 บาท
กรณีเข้าชมเป็นหมู่เป็นคณะ และต้องการวิทยากรนำชม หรือนักท่องเที่ยวที่ต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่ ศูนย์บริการข้อมูลนักท่องเที่ยวอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ตำบลเมืองเก่า อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย 64210 โทร. 0-5569-7310
การเดินทาง จากตัวเมืองสุโขทัย นักท่องเที่ยวสามารถนั่งรถประจำทางสายเมืองเก่า (รถสองแถว) มีรถออกทุก 20 นาที จอดรอบบริเวณท่ารถใกล้ป้อมยามตำรวจมาลงที่หน้าอุทยานฯ มีรถออกทุก 20 นาที

พระบรมราชานุสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหงมหาราช

สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2518 ตั้งอยู่ริมถนนจรดวิถีถ่อง ทางทิศเหนือของวัดมหาธาตุ ลักษณะพระบรมรูปพ่อขุนรามคำแหงมหาราชเป็นพระบรมรูปหล่อด้วยโลหะทองเหลืองผสมทองแดงรมดำ ขนาด 2 เท่าขององค์จริง สูง ๓ เมตร ประทับนั่งห้อยพระบาทบนแท่นมนังคศิลาบาตร พระหัตถ์ขวาถือคัมภีร์ พระหัตถ์ซ้ายอยู่ในท่าทรงสั่งสอนประชาชน แท่นด้านซ้ายมีพานวางพระขรรค์ไว้ข้าง ๆ ลักษณะพระพักตร์เหมือนอย่างพระพุทธรูปสมัยสุโขทัยตอนต้น ที่ถ่ายทอดความรู้สึกว่า พ่อขุนรามคำแหงมหาราชมีน้ำพระทัยเมตตากรุณา ยุติธรรม มีความเด็ดขาดในการปกครองแบบพ่อปกครองลูก ที่ด้านข้างมีภาพแผ่นจำหลักจารึกเหตุการณ์เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของพระองค์ตามที่อ้างถึงในจารึกสุโขทัย กำแพงเมืองสุโขทัย
ตั้งอยู่ที่ตำบลเมืองเก่า ปรากฏหลักฐานในศิลาจารึก เรียกว่า ตรีบูร มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีขนาดกว้าง 1,300 เมตร ยาว 1,800 เมตร กำแพงชั้นในเป็นศิลาแลงก่อบนคันดิน กำแพง 2 ชั้นนอกเป็นคูน้ำสลับกับคันดิน นอกจากทำหน้าที่ป้องกันข้าศึกแล้วคูน้ำยังใช้ระบายน้ำไม่ให้ไหลท่วมเมืองอีกด้วย ระหว่างกึ่งกลางแต่ละด้านมีประตูเมือง และป้อมหน้าประตูด้วย

วัดมหาธาต
ตั้งอยู่กลางเมือง เป็นวัดใหญ่ และวัดสำคัญของกรุงสุโขทัย มีพระเจดีย์มหาธาตุทรงดอกบัวตูม หรือทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ เป็นศิลปะแบบสุโขทัยแท้ ตั้งเป็นเจดีย์ประธาน ล้อมรอบด้วยเจดีย์ 8 องค์ บนฐานเดียวกัน คือ ปรางค์ศิลาแลงตั้งอยู่ที่ทิศทั้ง 4 และเจดีย์ทรงปราสาทก่อด้วยอิฐที่ได้รับอิทธิพลมาจากล้านนา จากการสำรวจ พบว่าบริเวณวัดมหาธาตุมีเจดีย์แบบต่าง ๆ มากถึง 200 องค์ วิหาร 10 แห่ง ซุ้มพระ (มณฑป) 8 ซุ้ม พระอุโบสถ 1 แห่ง ตระพัง 4 แห่ง ด้านตะวันออกบนเจดีย์ประธานมีวิหารขนาดใหญ่ก่อด้วยศิลาแลง มีแท่นซึ่งเคยเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสำริดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย คือ พระศรีศากยมุนี ปัจจุบันได้รับการเคลื่อนย้ายไปอยู่ที่วัดสุทัศน์ฯ กรุงเทพมหานคร ที่ด้านเหนือ และด้านใต้ของเจดีย์มหาธาตุมีพระพุทธรูปยืนภายในซุ้มพระ เรียกว่า "พระอัฏฐารศ"


วัดชนะสงคราม
ตั้งอยู่ทางด้านเหนือของวัดมหาธาตุ ใกล้กับโบราณสถานที่เรียกว่าหลักเมือง เดิมเรียกว่า วัดราชบูรณะ มีลักษณะเด่นคือ เจดีย์ทรงระฆังกลมขนาดใหญ่ เป็นเจดีย์ประธาน และมีวิหาร โบสถ์ เจดีย์รายต่าง ๆ


เนินปราสาทพระร่วง หรือเขตพระราชวังในสมัยสุโขทัย
ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกติดกับวัดมหาธาตุ มีโบราณสถานแห่งหนึ่งเรียกว่า เนินปราสาท พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวสันนิษฐานว่าบริเวณนี้เคยเป็นฐานปราสาทราชวัง ของกษัตริย์เมืองสุโขทัย กรมศิลปากรได้ขุดแต่งบูรณะ เมื่อ พ.ศ. 2526 พบฐานอาคารแบบฐานบัวค่ำ บัวหงาย มีลักษณะเป็นฐานสูงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาด 27.50X51.50 เมตร มีบันไดที่ด้านหน้า และด้านหลัง

วัดตระพังเงิน
(คำว่า “ตระพัง” หมายถึง สระน้ำ หรือหนองน้ำ) เป็นโบราณสถานสำคัญ ตั้งอยู่บริเวณขอบตระพังเงินด้านทิศตะวันตกของวัดมหาธาตุ ห่างจากวัดมหาธาตุ 300 เมตร โบราณสถานนี้ไม่มีกำแพงแก้ว ประกอบด้วยเจดีย์ทรงดอกบัวตูมเป็นประธาน ลักษณะเด่นของเจดีย์ทรงดอกบัวตูม คือ มีจระนำที่เรือนธาตุทั้งสี่ด้านประดิษฐานพระพุทธรูปยืน และพระพุทธรูปปางลีลา (จระนำ หมายถึง ชื่อซุ้มท้ายวิหาร หรือท้ายโบสถ์ มักเป็นช่องตัน) วิหารประกอบอยู่ด้านหน้า และทางด้านตะวันออกของเจดีย์เป็นเกาะมีโบสถ์ตั้งอยู่กลางน้ำ

วัดสระศรี
เป็นวัดที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของวัดมหาธาตุ เป็นโบราณสถานสำคัญอยู่บริเวณกลางสระน้ำที่มีขนาดใหญ่ ชื่อว่า ตระพังตระกวน และสิ่งสำคัญของวัดประกอบด้วยเจดีย์ประธานทรงลังกา ด้านหน้าวิหารขนาดใหญ่ประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัย มีเจดีย์ขนาดเล็ก ศิลปศรีวิชัยผสมลังกา ตั้งอยู่ทางด้านทิศใต้ มีซุ้มพระพุทธรูป 4 ทิศ ด้านหน้ามีเกาะกลางน้ำขนาดย่อมเป็นที่ตั้งของพระอุโบสถขนาดเล็ก วัดแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นจุดที่มีทัศนียภาพที่สวยงาม


วัดศรีสวาย
ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของวัดมหาธาตุ ห่างออกไปประมาณ 350 เมตร โบราณสถานที่สำคัญตั้งอยู่ในกำแพงแก้ว ประกอบด้วยปรางค์ 3 องค์ รูปแบบศิลปะลพบุรี ลักษณะของปรางค์ค่อนข้างเพรียว ตั้งอยู่บนฐานเตี้ย ๆ ลวดลายปูนปั้นบางส่วนเหมือนลายบนเครื่องถ้วยจีน สมัยราชวงศ์หยวน ได้พบทับหลังสลักเป็นรูปนารายณ์บรรทมสินธุ์ ชิ้นส่วนของเทวรูป และศิวลึงค์ที่แสดงให้เห็นว่าเคยเป็นเทวสถานในศาสนาฮินดูมาก่อน แล้วแปลงเป็นพุทธสถานโดยต่อเติมวิหารขึ้นที่ด้านหน้า แล้วเป็นวัดในพุทธศาสนาภายหลัง


ศาลตาผาแดง
มีลักษณะเป็นโบราณสถานตามแบบศิลปเขมร ก่อด้วยศิลาแลง สมัยนครวัด (พ. ศ. 1650 - 1700) ต่อมากรมศิลปากรได้ดำเนินการขุดแต่ง และบูรณะศาลนี้ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย
เป็นอาคารทรงไทยสถาปัตยกรรมแบบสุโขทัย อยู่ใกล้วัดพระพายหลวง ภายในอาคารเป็นศูนย์ให้ข้อมูลและอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชมอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย รวมทั้งจัดแสดงแบบจำลองของโบราณสถานต่าง ๆ ในเขตเมืองเก่าสุโขทัย นักท่องเที่ยวควรเริ่มต้นชมอุทยานฯ จากจุดนี้เพื่อจะได้เห็นภาพรวมของสุโขทัยในอดีต


แหล่งโบราณคดีเครื่องปั้นดินเผาสุโขทัย (เตาทุเรียง)
อยู่ใกล้วัดพระพายหลวง บริเวณแนวคูเมืองเก่าที่เรียกว่า “แม่โจน” เป็นเตาเผาถ้วยชามสมัยสุโขทัย มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 18 ค้นพบเตาโดยรอบ 49 เตา ซึ่งส่วนใหญ่อยู่บริเวณคันคูแม่น้ำโจนด้านทิศเหนือ 37 เตา ด้านทิศใต้ข้างกำแพงเมือง 9 เตา และด้านทิศตะวันออก 3 เตา เตาเผาเครื่องสังคโลกมีลักษณะคล้ายประทุนเกวียนขนาดกว้าง 1.50 - 2.00 เมตร ยาว 4.5 เมตร เครื่องปั้นดินเผาที่พบบริเวณนี้ส่วนใหญ่เป็นประเภทถ้วยชาม มีขนาดใหญ่ น้ำยาเคลือบขุ่น สีเทาแกมเหลือง มีลายเขียนสีดำ ส่วนใหญ่ทำเป็นรูปดอกไม้ ปลา และจักร


วัดพระพายหลวง
เป็นโบราณสถานขนาดใหญ่มีความสำคัญเป็นอันดับสองรองจากวัดมหาธาตุ ผังวัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีคูน้ำล้อมรอบ 3 ชั้น คูชั้นนอกเรียกว่า คูแม่โจน วัดพระพายหลวงเป็นศูนย์กลางของชุมชน โบราณสถานทเก่าแก่ที่สุดของวัด คือ พระปรางค์ 3 องค์ เป็นปรางค์ประธานของวัด ก่อด้วยศิลาแลง ศิลปะเป็นเขมรแบบบายน สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ด้านหน้าของวัดเป็นอาคารที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้น 4 อิริยาบถ คือนั่ง นอน ยืน เดิน


วัดศรีชุม
ตั้งอยู่ห่างจากวัดพระพายหลวงไปทางทิศตะวันตก 800 เมตร เป็นวัดที่ประดิษฐาน พระอจนะ เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัยขนาดใหญ่ หน้าตักกว้าง 11.30 เมตร ลักษณะของวิหารสร้างเป็นรูปสี่เหลี่ยมลักษณะคล้ายมณฑป แต่หลังคาพังทลายลงมาหมดแล้ว เหลือเพียงผนังทั้งสี่ด้าน ผนังแต่ละด้าน ก่ออิฐถือปูนอย่างแน่นหนา ผนังทางด้านใต้มีช่องให้คนเข้าไปภายใน และเดินขึ้นไปตามทางบันไดแคบ ๆ ถึงผนังด้านข้างขององค์พระอจนะ หรือสามารถขึ้นไปถึงสันผนังด้านบนได้ ภายในช่องกำแพงตามฝาผนังมีภาพเขียนเก่าแก่แต่เลอะเลือนเกือบหมด ภาพเขียนนี้มีอายุเกือบ 700 ปี นอกจากนี้แล้วบนเพดานช่องบันไดยังมีแผ่นหินชนวนขนาดใหญ่แกะสลักลวดลายเรื่องชาดกต่าง ๆ มีจำนวนทั้งหมด 50 ภาพ เมื่อเดินตามช่องทางบันไดขึ้นไปจะโผล่บนหลังคาวิหารมองเห็นทิวทัศน์อันงดงามของเมืองเก่าสุโขทัยได้โดยรอบ
เพราะเหตุใดวิหารวัดศรีชุมจึงมีความเร้นลับซ่อนอยู่อย่างนี้ เรื่องนี้หากพิจารณากันอย่างลึกซึ้งแล้วจะพบว่าพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์พระร่วงทรงพระปรีชาสามารถในด้านปลุกปลอบใจทหารหาญ และด้านอื่น ๆ อีกมาก เพราะผนังด้านข้างขององค์พระอจนะมีช่องเล็ก ๆ ถ้าหากใครแอบเข้าไปทางอุโมงค์แล้วไปโผล่ที่ช่องนี้ และพูดออกมาดัง ๆ ผู้ที่อยู่ภายในวิหารจะต้องนึกว่าพระอจนะพูดได้ และเสียงพูดนั้นจะกังวานน่าเกรงขาม เพราะวิหารนี้ไม่มีหน้าต่าง แต่เดิมคงมีหลังคาเป็นรูปโค้งคล้ายโดม


วัดช้างรอบ
อยู่ห่างจากประตู้อ้อไปทางทิศตะวันตกประมาณ 2.4 กิโลเมตร มีโบราณสถานที่สำคัญประกอบด้วย เจดีย์ทรงกลมแบบลังกา ฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสมีช้างโผล่ครึ่งตัว มีจำนวน 24 เชือก พระอุโบสถอยู่ด้านหน้าเจดีย์ประธาน และมีเจดีย์ราย 5 องค์ ล้อมรอบเจดีย์ประธาน และโบสถ์

วัดสะพานหิน
วัดนี้ตั้งอยู่บนเนินเขา สูงประมาณ 200 เมตร บริเวณทางเดินขึ้นโบราณสถานมีทางเดินปูลาดด้วยหินชนวนจากตีนเขาขึ้นไปเป็นระยะทาง 300 เมตร สิ่งสำคัญภายในวัด ได้แก่ พระประธานเป็นพระพุทธรูปยืนขนาดใหญ่ เป็นที่ประดิษฐานพระปางประทานอภัย สูง 12.50 เมตร เรียกว่า “พระอัฏฐารศ”


เขื่อนสรีดภงค์ หรือทำนบพระร่วง
ตั้งอยู่บริเวณเมืองเก่า ทำนบนี้เป็นเขื่อนดิน (คันดิน) สำหรับกั้นน้ำอยู่ระหว่างซอกเขาคือ เขาพระบาทใหญ่ และเขากิ่วอ้ายมา ที่สร้างขึ้นเพื่อกักน้ำ และชักน้ำไปตามคลองส่งน้ำมาเข้ากำแพงเมืองเข้าสระตระพังเงิน ตระพังทอง เพื่อนำไปใช้ในเมือง และพระราชวังในสมัยโบราณ ซึ่งในปัจจุบันกรมชลประทานได้ปรับปรุงบูรณะ และซ่อมแซมขึ้นใหม่


วัดเชตุพน
ศิลปกรรมที่น่าสนใจของวัดคือ มณฑปที่สร้างด้วยหินชนวน เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสี่อิริยาบท คือนั่ง นอน ยืน เดิน ภายในมณฑปเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปโดยมีการใช้วัสดุทั้งอิฐ หินชนวน ศิลาแลง ในการก่อสร้าง สิ่งที่น่าชมภายในวัด คือ กำแพงแก้วที่ล้อมรอบมณฑปจตุรมุขนี้สร้างจากหินชนวนที่มีขนาดใหญ่ และหนา โดยมีการสกัด และบากหินเพื่อทำเป็นกรอบ และซี่กรงเลียนแบบเครื่องไม้ และยังได้พบศิลาจารึกที่วัดนี้หลักที่ 58 จารึกในปี พ. ศ. 2057 กล่าวว่าเจ้าธรรมรังสีสร้างพระพุทธรูปในวัดนี้


วัดเจดีย์สี่ห้อง
ตั้งอยู่ทางตะวันออกของวัดเชตุพน ห่างไปประมาณ 100 เมตร โบราณสถานที่น่าสนใจ คือ ที่ฐานเจดีย์ประธานมีภาพปูนปั้นประดับโดยรอบปั้นเป็นรูปบุคคล รูปบุรุษ และสตรี สวมอาภารณ์ และเครื่องประดับ ในมือถือภาชนะ มีพรรณพฤกษางอกโผล่พ้นออกมาที่แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ นอกจากนั้นมีปูนปั้นรูปช้าง และสิงห์ประดับรูปบุคคล องค์เจดีย์ประธานเป็นทรงระฆังกลมที่ได้รับการบูรณะ ส่วนยอดเจดีย์ได้หักพังลง


วัดช้างล้อม
เป็นโบราณสถานที่สำคัญ มีเจดีย์ทรงกลมแบบลังกาเป็นประธานของวัด รอบฐานเจดีย์ประดับด้วย ปูนปั้นเป็นรูปช้างโผล่ครึ่งตัว ด้านหน้ามีฐานวิหารก่อด้วยอิฐ และยังมีฐานกำแพงแก้วก่อด้วยอิฐล้อมรอบ

วัดตระพังทองหลาง
อยู่ริมถนนจรดวิถีถ่อง หากเดินทางมาจากจังหวัดสุโขทัยวัดตระพังทองหลางอยู่ริมซ้ายมือ ศิลปกรรมที่สำคัญคือ มณฑปรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสก่อด้วยอิฐ ผนังด้านนอกประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้น ตอนพระพุทธเจ้าเสด็จลงจากดาวดึงส์ ตอนประทานเทศนาโปรดพระพุทธบิดากับกษัตริย์ศากยราช และตอนเสด็จโปรดนางพิมพา นับเป็นศิลปกรรมชิ้นเอกของสุโขทัย


http://th.upload.sanook.com/A0/f60a9887f62f2387b57eb980ff86d94d

อย.เผย 40 ยี่ห้อเครื่องสำอางอันตราย เตือนอย่าซื้อ อย่าใช้

อย.เพิ่มเติมรายชื่อเครื่องสำอางมีสารอันตรายอีก 40 ยี่ห้อ แนะผู้บริโภคอย่าซื้อมาใช้ พร้อมเตือนผู้ขายอย่านำเครื่องสำอางที่ อย.ประกาศผลวิเคราะห์ ว่า มีสารอันตรายทั้งหมดมาขาย มิฉะนั้น จะต้องได้รับโทษเหมือนผู้ผลิตและผู้นำเข้า

ภญ.วีรวรรณ แตงแก้ว
รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
(อย.) ได้ประกาศรายชื่อเครื่องสำอางที่มีสารอันตรายห้ามใช้ไปก่อนหน้านี้
อย.ขอเพิ่มเติมรายชื่อเครื่องสำอางมีสารอันตรายเพิ่มเติมอีก 40 รายชื่อ ดังนี้

(1) EED’S ครีมแก้ฝ้า จุดด่างดำ ทาก่อนนอน ครั้งที่ 1 ไม่ระบุ สารประกอบของปรอท

(2) EED’S ครีมไข่มุก หน้าสวย ทาก่อนนอน ครั้งที่ 2 ไม่ระบุ ไฮโดรควิโนน

(3) MADAME Organic โปรตีนสาหร่าย (บรรจุกล่องกระดาษสีเงิน) ไม่ระบุ สารประกอบของปรอท

(4) MADAME Organic โปรตีนสาหร่าย (บรรจุกล่องกระดาษสีทอง) ไม่ระบุ สารประกอบของปรอท

(5) MADAME ORGANIG เซรั่มชาเขียว ไม่ระบุ กรดเรทิโอิก

(6) ชาโต้ ชาบู by มิสเดย์ (กล่องสีชมพู) Revital Pure White Lotion โลชั่นป้องกันแสงแดด-ฝ้า ผลิตโดย บจก.เนเจอร์เฮิร์บ 1178/56 ม.18 ลำลูกกา ปทุมธานี เลขที่ผลิต 010804
วันเดือนปีที่ผลิต 17042008 ไฮโดรควิโนน

(7) ชาโต้ ชาบู by มิสเดย์ (กล่องสีชมพู) Revital Pure White Cream ครีมลดเลือนริ้วรอยจุดด่างดำ-ฝ้า ผลิตโดย บจก.เนเจอร์เฮิร์บ 1178 / 56 ม.18 ลำลูกกา ปทุมธานี เลขที่ ผลิต 010804
วันเดือนปีที่ผลิต 17042008 ไฮโดรควิโนน

(8) ชาโต้ ชาบู by มิสเดย์ (กล่องสี น้ำเงิน) Revital Pure White Lotion โลชั่น ป้องกันแสงแดด-ฝ้า ผลิตโดย บจก.เนเจอร์เฮิร์บ 1178/56 ม.18 ลำลูกกา ปทุมธานี เลขที่ผลิต 010804
วันเดือนปีที่ผลิต 17042008 ไฮโดรควิโนน

(9) ครีมบัวหิมะ หลิงหลิง ครีมทาสิวฝ้า (NIGHT CREAM) ผู้แทนจำหน่าย บริษัท เอส อาร์ วี เทรดดิ้ง จำกัด 117/4 ม.6 ต. บางกระสอ อ. เมือง จ.สมุทรปราการ 12131 สารประกอบของปรอท

(10) พอลลา ครีมทาฝ้า สูตรสำหรับตอนกลางคืน ผลิตโดย บริษัท เอ็ม วาย 8 แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด 314/5 ม.17
อ.ปากน้ำ จ.สมุทรปราการ เลขที่ผลิต A0001 วันเดือนปีที่ผลิต17032008 ไฮโดรควิโนน

(11) ไวท์โรส นาโนโซมส์ ผลิตและจำหน่ายโดย บ.ธรภัทร คอสเมตีส 779/7 ถ.เพชรเกษม แขวงบางแค เขตบางแค กรุงเทพ ฯ สารประกอบของปรอท

(12) ไวท์โรส ครีมรกแกะ หน้าขาวใส ลดจุดด่างดำ ผลิตและจำหน่ายโดย บริษัท ลอร่า โรส คอสเมติส 81 ม.9 ถ.จอมทอง บางขุนเทียน กรุงเทพฯ วันเดือนปีที่ผลิต 30/03/08 สารประกอบของปรอท

(13) ML ครีมสมุนไพรสด ตราดอกทานตะวัน ผลิตและจำหน่ายโดย บริษัท บ้านสมุนไพรทานตะวัน จำกัด
158 ม.6 ถ.พุทธมณฑล สาย 5 ต.อ้อมน้อย อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร 74130
วันเดือนปีที่ผลิต 09 OCT 2007 สารประกอบของปรอท

(14) Baby Charm ครีมสมุนไพรว่านหางจระเข้ ผลิตโดย 11/9 ม.6 ต.บางจาก อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ 10130 สารประกอบของปรอท

(15) KARME ครีมกลางคืน ผลิตโดย บริษัท ห้วยโจเขื่อนเอินคอสเมทิค จำกัด จำหน่ายโดย บริษัท ไจโอ นูโอ อินเตอร์เนชั่นแนล ไทยแลนด์ จำกัด วันเดือนปีที่ผลิต 2007/06/17 สารประกอบของปรอท

(16) ชามอง ครีมสมุนไพร (ครีมสมุนไพรชะเอมเทศ) ผลิตโดย บริษัท อาร์ ยู เนเจอร์ โปรดักส์ 1437/3
ถ.สุขาภิบาล แขวงคันนายาว เขตคลองกุ่ม กรุงเทพ ฯ 10220 สารประกอบของปรอท

(17) U Nice ไวท์เทนนิ่ง ครีมสิว-ฝ้า ไข่ไก่ผสมน้ำผึ้ง ผลิตโดย บริษัท เอ็น แอนด์ ยู จำกัด
89/1 ถ.แฮปปี้แลนด์ แขวงบางกะปิ เขตลาดพร้าว กรุงเทพฯ 10310 วันเดือนปีที่ผลิต 01
12 2007 สารประกอบของปรอท

(18) สมุนไพรฐิติมา ขมิ้นสด ผลิตโดย เอสเซ้นท์ โปรดักส์ จำหน่ายโดย สมุนไพรฐิติมา 88/105 ถ.ร่มเกล้า มีนบุรี กรุงเทพฯ สารประกอบของปรอท

(19) U Nice ครีมฝ้า น้ำนมข้าวผสม โยเกิร์ต ผลิตโดย บริษัท เอ็น แอนด์ ยู จำกัด 89/1 ถ.แฮปปี้แลนด์ แขวงบางกะปิ เขตลาดพร้าว กรุงเทพฯ 10310 วันเดือนปีที่ผลิต 01 01 2008 สารประกอบของปรอท

(20) สมุนไพรฐิติมา ครีมลดจุดด่างดำ กระ(ฝาปิดด้านในสีขาวขุ่น) ผลิตโดย เอสเซ้นท์ โปรดักส์จำหน่ายโดย สมุนไพรฐิติมา สารประกอบของปรอท

(21) คลินิกแคร์ ลดรอยดำ (ครีมสีเหลือง) ผลิตโดย บริษัท เภสัชผู้เชี่ยวชาญ จำกัด จำหน่ายโดย คลินิกแคร์ เทนเดอร์ 189 ถ.เพชรเกษม 52 / 2 ภาษีเจริญ กรุงเทพฯ 10160 กรดเรทิโนอิก

(22) คลินิกแคร์ ครีมประทินผิว สูตรขมิ้น ผลิตโดย บริษัท เภสัชผู้เชี่ยวชาญ จำกัดจำหน่ายโดย คลินิกแคร์ เทนเดอร์ 189 ถ. เพชรเกษม 52/2 ภาษีเจริญ กรุงเทพ ฯ 10160 สารประกอบของปรอท

(23) คลินิกแคร์ ครีมประทินผิว ลดรอยดำ ผลิตโดย บริษัท เภสัชผู้เชี่ยวชาญ จำกัดจำหน่ายโดย คลินิกแคร์ เทนเดอร์ 189 ถ.เพชรเกษม 52/2 ภาษีเจริญ กรุงเทพ ฯ 10160 ไฮโดรควิโนน และกรดเรทิโนอิก

(24) สมุนไพรฐิติมา ครีมลดจุดด่างดำ กระ (ฝาปิดด้านในสีขาว) ผลิตโดย เอสเซ้นท์ โปรดักส์ จำหน่ายโดย สมุนไพรฐิติมา สารประกอบของปรอท

(25) คลินิกแคร์ ลดรอยดำ (ครีมสีเขียวเหลือง) ผลิตโดย บริษัท เภสัชผู้เชี่ยวชาญ
จำกัดจำหน่ายโดย คลินิกแคร์ เทนเดอร์ 189 ถ.เพชรเกษม 52/2 ภาษีเจริญ กรุงเทพฯ 10160
กรดเรทิโนอิก

(26) ครีมสมุนไพรว่านนางสาว ไม่ระบุ สารประกอบของปรอท

(27) OEISHI GREEN TEA CREAM & HONEI MEAL ผู้ผลิต บริษัท โอเรียวชา (ประเทศญี่ปุ่น) จำกัด สารประกอบของปรอท

(28) ครีมชาเขียว DR.JAPAN ผู้ผลิต บริษัท โอเรียวชา (ประเทศญี่ปุ่น) จำกัด ผู้จำหน่าย บริษัท บี แอนด์ บี คอสเมติก จำกัด สารประกอบของปรอท

(29) พี-แคร์ครีม สมุนไพรขิง ไม่ระบุ สารประกอบของปรอท

(30) Dr.SUCHART ครีมรักษาผิวขาว ลบรอยฝ้า ผลิตโดย แพทย์สุชาติคลีนิคจำหน่ายโดย บริษัท
แพทย์ สุชาติคลีนิค (กรุงเทพฯ) จำกัด สารประกอบของปรอท

(31) P.S Fruit Cream ทรีทเมนท์บำรุงผิวขาว-ใส ครีม P.S.ผลิตและจำหน่ายโดย บริษัท เอส เอ็น อินเตอร์เทรด 1364/10 ถ.ดินแดง แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400 สารประกอบของปรอท

(32) NEW FACE Whitening Night Cream ไม่ระบุ สารประกอบของปรอท

(33) 3 ทรีย์เดย์ เนเชอรัล โลชั่นป้องกันแสงแดด-ฝ้า ผลิตโดย บริษัท ทรีเดย์ (ประเทศไทย) จำกัด 872/1084 ม.18 บางกะปิ กรุงเทพฯ 10230 เลขที่ผลิต 010709 วันเดือนปีที่ผลิต 28012005 ไฮโดรควิโนน

(34) มิสเดย์ ครีมแก้ฝ้า บจก.เนเจอร์ เฮิร์บ 1218/89 ม.6 ตลิ่งชัน กรุงเทพฯ เลขที่ผลิต 020712 วันเดือนปีที่ผลิต 2122007 ไฮโดรควิโนนและกรดเรทิโนอิก

(35) อองรี ครีมรกแกะ ลดริ้วรอย-ฝ้า บริษัท ออสซี่สกิน (ประเทศไทย) จำกัด 59/1010 ถ. สุทธิสาร ดินแดง กรุงเทพฯ 10400 วันเดือนปีที่ผลิต 141006 ไฮโดรควิโนน

(36) โลชั่นวินเซิร์ฟ ลดฝ้า-กันแดด (ห่อด้วยพลาสติกใสไม่มีสี รวมกับครีมวินเซิร์ฟและสบู่สมุนไพรทองพันชั่งผสมมะขาม) บริษัท ฟรีเวย์ บิวตี้ จำกัด 21/217 แขวงบางแคเหนือ เขตบางแค กรุงเทพฯ วันเดือนปีที่ผลิต 0151 ไฮโดรควิโนน

(37) ครีมฝ้า เมลาแคร์ ผลิตโดย บริษัท บี.ซี.คอสเมติคส์ จำกัด 34 ยุคล 1 สวนมะลิ กรุงเทพ
10100 ไฮโดรควิโนนและกรดเรทิโนอิก

(38) โลชั่นกันแดด-กันฝ้า เมลาแคร์ ผลิตโดย
บริษัท บี.ซี.คอสเมติคส์ จำกัด 34 ยุคล 1 สวนมะลิ กรุงเทพ 10100 ไฮโดรควิโนน

(39) มิสย์เดย์ ครีมแก้ฝ้า บจก.เนเจอร์ เฮิร์บ 1218/89 ม.6 ตลิ่งชัน กรุงเทพฯ เลขที่ผลิต
020802 วันเดือนปีที่ผลิต 12122007 ไฮโดรควิโนนและกรดเรทิโนอิก

(40) ไวท์โรส ครีมรกแกะ หน้าขาวใส ลดจุดด่างดำ ผลิตและจำหน่ายโดย บริษัท ลอร่า โรส คอสเมติส 81
ม.9 ถ.จอมทอง บางขุนเทียน กรุงเทพฯ สารประกอบของปรอท อย.ขอย้ำว่า อย่าซื้อผลิตภัณฑ์ทั้ง 40 รายการนี้มาใช้อย่างเด็ดขาด เพราะอาจได้รับอันตรายจากสารห้ามใช้ เช่น ไฮโดรควิโนน จะทำให้ผิวหน้าดำ เป็นฝ้าถาวรรักษาไม่หาย กรดเรทิโนอิก ทำให้แสบร้อนรุนแรงผิวหน้าลอก และเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ ในขณะที่สารประกอบของปรอท มีอันตรายร้ายแรงมาก ทำให้ผิวหน้าดำ ผิวบางลง และเมื่อสารปรอทสะสมในร่างกาย ทำให้ทางเดินปัสสาวะอักเสบ และไตอักเสบได้อีกด้วย

รองเลขาธิการ กล่าวต่อไปว่า ขอให้ผู้ขายเครื่องสำอางให้ความร่วมมือ อย่านำเครื่องสำอาง ทั้งหมดนี้มาขายโดยเด็ดขาด หากตรวจพบ อย.จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเข้มงวดให้ถึงที่สุด โดยจะมีโทษเหมือนกับผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าเครื่องสำอางที่ไม่ปลอดภัย คือ จำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เพราะผู้ขายเป็นแหล่งสำคัญที่จะกระจายผลิตภัณฑ์สู่มือผู้บริโภค หากผู้ขายไม่มีความรับผิดชอบนำผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีคุณภาพหรือมีอันตรายมาขาย ผู้บริโภคจะมีความเสี่ยงสูงในการได้รับอันตรายจากผลิตภัณฑ์นั้นๆ จึงขอความร่วมมือให้ผู้ขายซื้อสินค้าจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ และมีหลักฐานการซื้อขายที่ระบุชื่อที่ตั้งชัดเจน สำหรับรายชื่อเครื่องสำอางทั้งหมด จะมีการนำขึ้นโพสต์บนเว็บไซต์ อย.คือ ผู้บริโภคและผู้ขายที่สนใจอยากทราบรายชื่อทั้งหมดสามารถเข้าดูได้ตลอดเวลา

http://www.fda.moph.go.th/

AMD โชว์วิสัยทัศน์ ดาต้าเซ็นเตอร์ในอนาคต ผ่านโร้ดแม็ปเซิร์ฟเวอร์รุ่นใหม่


AMDเผยรายละเอียดโปรเซสเซอร์ Six-Core โค้ดเนม “Istanbul” รุ่นใหม่ พร้อมโชว์ศักยภาพแพลตฟอร์มเซิร์ฟเวอร์ G34

AMDเผยรายละเอียดโปรเซสเซอร์ Six-Core โค้ดเนม “Istanbul” รุ่นใหม่ พร้อมโชว์ศักยภาพแพลตฟอร์มเซิร์ฟเวอร์ G34 ที่งานฉลองครบรอบ 6 ปีโปรเซสเซอร์ AMD Opteron ซึ่งจัดขึ้นที่สำนักงานใหญ่ของเอเอ็มดีในซันนี่วัลเล่, แคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา บริษัทเอเอ็มดี (NYSE: AMD) ได้เปิดเผยโร้ดแม็ปล่าสุดสำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์เซิร์ฟเวอร์ และการดำเนินตามแผนที่กำหนด
เอเอ็มดีเตรียมเปิดตัวโปรเซสเซอร์ Six-Core AMD Opteron ใหม่โค้ดเนม “Istanbul” ในเดือนมิถุนายนปีนี้ พร้อมสมรรถนะที่เพิ่มขึ้น 30% ขณะที่ใช้พลังงานเท่าเดิม และสนับสนุนแพลตฟอร์มเดิม เช่นเดียวกับ Quad-Core AMD Opteron รุ่นปัจจุบัน1
เอเอ็มดียังเปิดเผยเกี่ยวกับสถาปัตกรรม Direct Connect Architecture 2.0 ซึ่งเป็นก้าวถัดไปของเซิร์ฟเวอร์โปรเซสเซอร์ โดยในเบื้องต้นรองรับสูงสุดถึง 12 คอร์ พร้อมเมมโมรี่และ I/O ระดับไฮเอนด์, สมรรถนะเวอร์ชวลไลเซชั่นที่เกือบเท่าของจริง และอัตราการใช้พลังงานที่ยังคงเท่าเดิม
เอเอ็มดีเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้จะยังประโยชน์สูงสุดแก่ผู้บริโภค เป็นการพลิกประวัติศาสตร์เซิร์ฟเวอร์ ด้วยสมรรถนะระดับไฮเอนด์ และความยืดหยุ่นสูงสุดสำหรับการอัพเกรดระบบไปใช้โปรเซสเซอร์รุ่นใหม่ที่มีคอร์โปรเซสเซอร์มากกว่า และในระดับพื้นฐานเอง สิ่งที่เอเอ็มดีเห็นก็คือความสามารถในการจัดการพลังงานซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับระบบ Cloud Computing รวมถึงการทำงานภายใต้สภาพแวดล้อมแบบ Ultra-dense
ในปี 2010 เอเอ็มดีมีแผนวางจำหน่ายโปรเซสเซอร์ AMD Opteron 6000 Series สำหรับเซิร์ฟเวอร์ 2P และ 4P ซึ่งออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดดาต้าเบส ที่ต้องการคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูง พร้อมความสามารถด้านเวอร์ชวลไลเซชั่น โปรเซสเซอร์ AMD Opteron 6000 Series จะพัฒนาบนสถาปัตยกรรม Socket G34 สำหรับแพลตฟอร์ม “Maranello” และใช้โปรเซสเซอร์ 8- และ 12-Core โค้ดเนม “Magny-Cours”
AMD Opteron 4000 Series ก็จะมีการเปิดตัวออกมาในปี 2010 เช่นกัน เป็นโปรเซสเซอร์สำหรับเซิร์ฟเวอร์ 1P และ 2P ออกแบบขึ้นสำหรับงาน virtualized Web และ cloud computing โปรเซสเซอร์ 4000 Series จะพัฒนาบนสถาปัตยกรรม Socket C32 สำหรับแพลตฟอร์ม “San Marino” และใช้โปรเซสเซอร์ 4- และ 6-Core โค้ดเนม “Lisbon”
โปรเซสเซอร์ 12- และ 16-Core โค้ดเนม “Interlagos” จะพัฒนาบนคอร์ “Bulldozer” และใช้เทคโนโลยี 32nm ในการผลิต มีกำหนดวางตลาดในปี 2011 และสนับสนุนแพลตฟอร์ม “Maranello” ส่วนโปรเซสเซอร์ 6- to 8-core โค้ดเนม “Valencia” จะใช้เทคโนโลยี 32nm ในการผลิต และมีกำหนดวางตลาดในปี 2011 บนแพลตฟอร์ม “San Marino”
“ตลอด 6 ปีที่ผ่านมา เอเอ็มดีได้เปลี่ยนโฉมหน้าของอุตสาหกรรม x86 Server ให้เป็นอย่างทีเห็นในปัจจุบันด้วยโปรเซสเซอร์ AMD Opteron โปรเซสเซอร์ที่มีสมรรถนะต่อวัตต์สูงสุดและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และในปี 2010 และ 2011 เอเอ็มดีมีแผนจะพลิกประวัติศาสตร์อีกครั้งด้วยโปรเซสเซอร์ที่มีสมรรถนะสูงขึ้นอีกขั้นโดยยังคงใช้พลังงานในระดับเท่าเดิม ตอนนี้เรากำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา แต่คร่าวๆ มันจะมีสมรรถนะสูงกว่า Single-Core AMD Opteron รุ่นแรกถึง 35 เท่าทีเดียว” แพ็ตทริค พัตลา (Patrick Patla) รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ (Vice President) และผู้จัดการทั่วไป (General Manager) กลุ่มธุรกิจเซิร์ฟเวอร์/เวิร์คสเตชั่น บริษัทเอเอ็มดี กล่าวและว่า “ด้วยผลิตภัณฑ์และสมรรถนะที่หลากหลาย เอเอ็มดีกำลังนำมูลค่าสูงสุด ณ ทุกๆระดับราคา สู่ผู้บริโภค และจะดำเนินตามนโยบายนี้อย่างต่อเนื่องต่อไปในอนาคต”


ที่มา:http://technology.impaqmsn.com/article.asp?id=8495

วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2552

ข้อควรระวังในการใช้เครื่องสำอาง

ปัจจุบันนี้สาวๆหันมาสนใจความสวยความงามเป็นอันมาก มีการเปิดร้านเสริมสวย ลดความอ้วนกันมากมาย มีการนำเครื่องสำอางทั้งที่ผลิตเอง และนำจากต่างประเทศมาใช้กันอย่างแพร่หลาย วิวัฒนาการของความงามก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นวิวัฒนาการทางเครื่องสำอาง ร้านเสริมสวย สถาบันเสริมความงาม การใช้แสงเลเซอร์ช่วยในการรักษาผิวทั้งหมดนี้ถ้าใช้อย่างถูกวิธีก็เป็นสิ่งดี แต่บางครั้งก็ทำให้เกิดผลแทรกซ้อนได้ ดังนั้นจะเห็นว่าทุกคนไม่ว่าเพศหญิงหรือชาย เด็กหรือผู้ใหญ่ หรือแม้กระทั่งผู้สูงอายุ ก็ต้องใช้เครื่องสำอางกันทั้งสิ้นเนื่องจากเครื่องสำอางนอกจากจะหมายถึงเครื่องแต่งหน้าที่ผู้หญิงใช้แล้ว ยังรวมถึงสบู่ ยาสีฟัน แชมพู ที่ใช้ทำความสะอาดร่างกายด้วย ซึ่งผลข้างเคียงจากเครื่องสำอางพบได้น้อยเมื่อเทียบกับอัตราการใช้ แต่ถ้าเกิดขึ้นแล้วบางครั้งก็ทำให้เกิดความรำคาญ ทำให้เสียความงาม หรือบางครั้งงาอาจเป็นอันตรายขั้นรุนแรงได้
อาการแพ้เครื่องสำอางเครื่องสำอาง
อาการที่ผู้ใช้เครื่องสำอางจะรู้สึกด้วยตัวเอง เช่นอาการปวดแสบปวดร้อน อาการคัน หรือรู้สึกว่าคันยิบๆ อาการเหล่านี้จะเกิดเป็นช่วงสั้นๆ ไม่เกิด 10 นาที อาการที่พบบ่อยที่สุดมักเกิดจากการใช้เครื่องสำอางที่ใบหน้าแต่ผู้ที่แพ้มักไม่ไปพบแพทย์ เพราะเมื่อหยุดใช้ อาการก็จะหายไป ทั้งนี้อาจเกิดจากการระคายเคืองของเครื่องสำอาง
-อาการแพ้ผื่นคัน อาจมีอาการตั้งแต่แพ้น้อยๆแค่มีผื่นแดงคัน จนกระทั่งแพ้มากเป็นตุ่มแดง ตุ่มน้ำ มีขุย บริเวณของร่างกายที่จะแพ้ได้บ่อยที่สุดคือ บริเวณหน้าโดยเฉพาะรอบดวงตา เนื่องจากเป็นบริเวณที่ผิวบางที่สุดคือ บริเวณหน้าโดยเฉพาะรอบดวงตา เนื่องจากเป็นบริเวณที่ผิวบางที่สุด
-เกิดผื่นลมพิษ จะมีอาการผื่นแดง บวม ถ้าเป็นน้อยๆ อาจเห็นแค่หนังตาบวม ถ้าเป็นมากอาจพบผื่นบวมทั้งหน้า บางครั้งถ้าแพ้มาก อาจมีอาการทางด้านระบบอื่นของร่างกาย อาทิ แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก เช่น การแพ้ยาย้อมผม
-เกิดผื่นดำ บางครั้งยิ่งทาเครื่องสำอางแล้วหน้ายิ่งดำ ทั้งนี้เนื่องจากในผลิตภัณฑ์มีส่วนผสมของน้ำหอม ซึ่งมีสารเคมีที่เมื่อโดนแสงแล้วจะเกิดการแพ้แสงแดดเห็นเป็นรอยดำบริเวณที่สัมผัส หรือบางครั้งผลิตภัณฑ์ที่มีสารธรรมชาติ เช่น มะกรูด มะนาว แตงกวา หรือการใช้สมุนไพรมาทาหน้าก็จะทำให้หน้าดำ เพราะมีสารที่ทำปฏิกิริยากับแสงแล้วทำให้เกิดผื่นดำได้ นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ที่รักษาฝ้าที่มีสารไฮโดรควิโนนในความเข้มข้นสูง จะทำให้เกิดปื้นดำบนใบหน้าอย่างถาวร แม้จะหยุดใช้แล้วก็ยังไม่หายดำ
-เกิดผื่นขาว ในสมัยก่อนมีครีมที่นิยมทาให้ใบหน้าขาว ซึ้งทาแล้วก็ทำให้ขาวได้จริงๆ แต่ขาวแบบไม่สม่ำเสมอ กระดำกระด่าง ทั้งนี้เนื่องจากมีสารจำพวกปรอทโมโนอีเทอร์ ไฮโดรควิโนนที่มีความเข้มข้นสูง บางครั้งรอยด่างขาวนี้ก็เป็นแบบถาวร เมื่อหยุดใช้แล้วเม็ดสีก็ไม่กลับคืน ดังนั้นทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาจึงห้ามใช้สารเหล่านี้ในเครื่องสำอางแล้ว
-สิว เครื่องสำอางที่มีส่วนประกอบของสารที่ทำให้เกิดสิว เช่น สาโนลิน โซเดียมลอรัลซัลเฟต สารสเตียรอยด์ เป็นต้น เมื่อใช้ไปนานๆ อาจก่อให้เกิดสิวได้ ดังนั้นถ้าคนที่มีอายุเลยวัยที่จะเป็นสิวแล้วเกิดเป็นสิวขึ้นมา ให้สงสัยไว้ก่อนว่าจะเกิดจากเครื่องสำอาง
-การเปลี่ยนแปลงของเล็บ เช่น เล็บลอก เล็บผุกร่อน เปลี่ยนสี ขอบเล็บอักเสบ อาจเกิดจากการใช้เครื่องสำอางของเล็บ เช่น ยาทาเล็บ น้ำยาล้างเล็บ และบางครั้งก็เกิดจากร้านเสริมสวยที่รักษาความสะอาดไม่เพียงพอ
-การเปลี่ยนแปลงของผม น้ำยาดัดผม น้ำยายืดผม จะทำให้เส้นผมเปราะหักง่าย น้ำยาย้อมผม น้ำยาทำสีผม อาจทำให้เส้นผมกระด้าง ขาดความเงางาม
ผลต่อระบบอื่นๆของร่างกาย เช่น เยื่อบุตาอักเสบ การดูดซึมของสาร การสะสมของสารพิษในระยะยาว ซึ่งถ้าเป็นเครื่องสำอางที่ได้มาตรฐานผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา มักจะไม่มีอันตรายเหล่านี้ แต่บางครั้งด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผู้ผลิตอาจจะใส่สารที่เป็นอันตราย เช่น ปรอท ตะกั่ว อันก่อให้เกิดพิษได้
เครื่องสำอางชนิดไหนที่ทำให้เกิดการแพ้ได้บ่อย
เครื่องสำอางที่ถือว่ามีอัตราทำให้เกิดผลข้างเคียงสูง ได้แก่ น้ำยายืดผม ครีมทำให้ผิวขาว ครีมรักษาฝ้า น้ำยาหรือครีมขจัดขน
ส่วนที่มีอัตราทำให้เกิดผลข้างเคียงปานกลาง ได้แก่ น้ำยาดัดผม น้ำยาย้อมผม ครีมบำรุงผม มาส์คหน้า ครีมแก้สิว ครีมรองพื้น ลิบสติก น้ำยาทำความสะอาดอวัยวะเพศ โฟมอาบน้ำ ยากันแดด ยาระงับกลิ่นตัว และยาลดเหงื่อ

จะทำอย่างไรเมื่อสงสัยว่าจะแพ้เครื่องสำอาง
-ถ้าสงสัยจะแพ้เครื่องสำอางชนิดไหน ให้หยุดใช้เครื่องสำอางชนิดนั้นทันที
-ถ้ามีหลายตัวให้หยุดใช้ตัวที่นำมาใช้ใหม่แล้วเกิดอาการก่อน
-ถ้าหยุดใช้แล้วอาการดีขึ้นก็อาจแสดงว่าเครื่องสำอางตัวนั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้แพ้ แต่ถ้ามีอาการแพ้มากมีผิวหน้าอักเสบอยู่ให้หยุดใช้เครื่องสำอางทุกชนิด
-อนุญาตให้ใช้แป้งเด็ก ลิปสติก (ถ้าไม่มีผื่นที่ปาก) เครื่องสำอางแต่งดวงตา
(ถ้าไม่มีผื่นรอบดวงตา)
-เมื่ออาการผิวหนังอักเสบหายแล้วค่อยลองใช้ที่ละตัวเป็นอย่างๆไป ถ้าเกิดผื่นขึ้นให้ลองหยุดใช้ตัวที่ใช้สุดท้าย
ถ้าอาการหายไปก็น่าจะเกิดการแพ้เครื่องสำอางนั้นๆ
-วิธีที่จะพิสูจน์ง่ายๆว่าเครื่องสำอางชนิดนั้นเป็นสาเหตุที่เกิดการแพ้จริงหรือไม่ ให้ทำการทดสอบโดยทาเครื่องสำอางที่สงสัยที่บริเวณท้องแขน วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 1 สัปดาห์ ถ้ามีผื่นขึ้นก็แสดงว่าแพ้จริง ให้หยุดใช้เครื่องสำอางนั้นๆ
ถ้าทดสอบเองแล้วยังหาสาเหตุไม่ได้
-แพทย์ผิวหนังจะมีการทดสอบทางผิวหนังโดยวิธีแพตช์เทสต์ (PATCH TEST)
โดยจะใช้สารเคมีที่เป็นส่วนประกอบของเครื่องสำอางในความเข้มข้นที่เหมาะสมมาแปะติดลงบนแผ่นหลังของผู้ป่วย
ทิ้งไว้ 2 วัน แล้วกลับมาอ่านผล ถ้ามีอาการผื่นแดงขึ้นบริเวณที่ทดสอบ ก็แสดงว่าแพ้สารนั้นวิธีนี้มีประโยชน์ในการที่จะเลือกซื้อเครื่องสำอางครั้งต่อไปจะได้เลือกเครื่องสำอางที่ไม่มีสารที่แพ้ผสมอยู่
เช่น ถ้าทดสอบแล้วพบว่าแพ้น้ำหอม เมื่อจะซื้อเครื่องสำอางก็ควรเลือกชนิดที่ไม่มีน้ำหอม หรือมีน้ำหอมน้อย
ซึ่งอาจจะเขียนว่า NO PERFUME หรือ FRAGRANCE FREE ก็ได้ ถ้าเกิดอาการแพ้มากๆ
ควรจะพบแพทย์ผิวหนัง พื่อการรักษาที่ถูกต้องอย่าฝืนใช้เครื่องสำอางหรือซื้อยาทาเองเนื่องจากอาจเกิดอันตรายมากขึ้น
ข้อแนะนำในการใช้เครื่องสำอาง
-ปิดฝาเครื่องสำอางทุกครั้งเมื่อใช้เสร็จ
-รักษาความสะอาดของขวด กระปุก
-เก็บเครื่องสำอางไว้ในที่อาการไม่ร้อนหรือเย็นเกินไป อากาศถ่ายเทได้สะดวก
-แปรงหรือฟองน้ำต้องทำความสะอาดด้วยน้ำและสบู่
-สำลีหรือพัฟควรจะเลือกแบบใช้แล้วทิ้งเพียงครั้งเดียว
-ให้ล้างเครื่องสำอางออกให้หมดก่อนนอน
-มั่นตรวจอายุของเครื่องสำอาง
-หากหมดอายุก็ทิ้งเสีย โดยเฉพาะมาสคาราจะมีอายุใช้งาน 3-4 เดือนเท่านั้น
-หากผิวหน้ามีการติดเชื้อ ก็อาจจะหยุดหรือทิ้งเครื่องสำอางนั้นเสีย
เนื่องจากอาจจะมีเชื้อแบคทีเรียในเครื่องสำอาง

ข้อห้ามใช้เครื่องสำอาง
-อย่าใช้เครื่องสำอางของคนอื่น หรือยืมเครื่องสำอางให้คนอื่น
เพราะอาจจะถ่ายเทเชื้อโรคให้กัน
-ห้ามใช้เครื่องสำอางที่ตั้งโชว์ไวตามเคาน์เตอร์เครื่องสำอางเพราะอาจจะติดเชื้อโรค
-ให้ล้างหน้าให้สะอาดก่อนใช้เครื่องสำอาง
-หลังตื่นนอนควรจะรอจนหน้าและหนังตาหายบวมจึงจะค่อยเมคอับ
-ห้ามแต่งหน้าระหว่างอยู่ในรถเพราะอาจจะทิ่มตา
-ห้ามเติมน้ำลงในเครื่องสำอาง เพราะอาจจะมีเชื้อแบคทีเรีย
-วิตามินอีไม่มีประโยชน์ต่อผิวหนังจึงไม่จำเป็นต่อเติมลงในเครื่องสำอาง
แพ้เครื่องสำอาง
ข้อควรปฏิบัติสำหรับผู้มีปฏิกิริยาต่อเครื่องสำอาง
-พบแพทย์เพื่อทำการตรวจทดสอบสารแพ้ทางผิวหนัง ควรนำเครื่องสำอางทุกชนิดที่ใช้
และสงสัยว่าอาจจะแพ้ มาด้วย
การปฏิบัติตน

-งดใช้สบู่, สารฟอก โดยให้ทำการชำระล้างด้วยน้ำเปล่า หรือให้เลือกใช้สบู่,
-ยาสระผมปลอดกลิ่น ปลอดน้ำหอม
-ควรหยุดใช้เครื่องสำอางทุกชนิด ยก เว้นลิปสติก
-ซึ่งอาจจะใช้ได้หากบริเวณ ริมฝีปากไม่มีผื่น
-ส่วนเครื่องสำอางบริเวณรอบดวงตา สามารถใช้ได้ถ้าบริเวณเปลือกตา ไม่มีผื่น หรือไม่มีอาการผิดปกติ
-สามารถทาแป้งฝุ่น
-ถ้าผิวหนังแห้งมากให้ใช้เพียงมอยซ์เจอร์ไรเซอร์ ที่มีส่วนผสมของกลีเซอรีน (Glycerin)
หลังจากผื่น, อาการต่าง ๆ
-ทุเลาหายเป็นปกติ (ซึ่งอาจใช้เวลาหลายเดือน)
-ท่านอาจมีวิธีทดสอบด้วยตนเองว่าแพ้เครื่องสำอางตัวใดโดย
ทาผลิตภัณฑ์ที่สงสัยบริเวณท้องแขนหรือข้อพับแขนวันละ 2 ครั้งเป็นเวลา 7 วัน
ถ้าภายใน 1 สัปดาห์ไม่เกิดปฏิกิริยาใดๆ โอกาสแพ้ผลิตภัณฑ์ตัวนั้นน่าจะมีน้อย
อาจทดลองใช้เครื่องสำอางตามวิธีปกติได้ทีละ 1 ชนิด
หากไม่มีอาการแพ้เกิดขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์ ค่อยเลือกใช้เครื่องสำอางชนิดที่ 2
ต่อไป

ที่มา: http://lifestyle.kingsolder.com/health/beauty.asp?id=423&no=2