วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2552

ไข้หวัดหมู

ช็อกโลก'ไข้หวัดหมู'อาละวาดหนักป่วยตายเพียบ!...


โผล่มาอีกแล้วมหันตภัยโรคร้ายสายพันธุ์ใหม่ “ไข้หวัดหมู” ชนิดเอสายพันธุ์ H1N1 ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับ “ภาวะโลกร้อน” หรือไม่ แต่เดี๋ยวนี้ลุกลามสร้างความหวาดผวาไปหลายประเทศทั่วโลก ในมณฑลเสฉวน สาธารณรัฐประชาชนจีน มีผู้ป่วยโรคนี้เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 36 ศพ และแพร่ระบาดอย่างหนักไปยังทวีปต่าง ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ ในประเทศเม็กซิโกมีผู้สังเวยมากกว่า 100 ศพ และมีผู้ติดเชื้อร้ายนี้มากกว่า 1,300 คน ในสหรัฐอเมริกามีการตรวจพบเชื้อแล้วหลายคน จนองค์การอนามัยโลก (WHO) ต้องออกมาเตือนอันตราย โดยหลายประเทศเริ่มตื่นตัวคุมเข้มสนามบินและการนำเข้าเนื้อหมูหรือเนื้อสุกรกันอย่างเข้มงวด ในประเทศไทย นายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข ออกมายืนยันกับประชาชนว่ายังไม่พบเชื้อไข้หวัดหมูแพร่ระบาดแต่อย่างใด โดยจากการเฝ้าระวังโรคของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ตั้งแต่ต้นปี 2552-ปัจจุบัน มีเพียงผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ธรรมดา 3,159 ราย ไม่มีใครเสียชีวิต อย่างไรก็ตาม ได้สั่งการให้เฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเตรียมพร้อมรับมือรวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจวินิจฉัยโรค การดูแลรักษาพยาบาลผู้ป่วย การเตรียมเครื่องมือและเวชภัณฑ์ และประสานงานกับองค์การอนามัยโรค (WHO) และศูนย์ป้องกันควบคุมโรคแห่งชาติสหรัฐอเมริกาอย่างใกล้ชิดแล้ว แม้นั่นจะเป็นการการันตีจากกระทรวงสาธารณสุขของประเทศไทยว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเกี่ยวกับโรคไข้หวัดหมู ที่กำลังแพร่ระบาดไปทั่วโลก แต่ก็ประมาทไม่ได้เด็ดขาด เพราะความประมาทเป็นหนทางแห่งความหายนะ ซึ่งเคยมีบทเรียนมาแล้วเช่นกรณี “ไข้หวัดนก” ที่ระบาดคร่าชีวิตสัตว์เลี้ยงและผู้คนไปไม่น้อย กว่ารัฐบาลจะยอมเปิดเผยข้อมูลก็เกือบจะสายเกินไป จากรายงานทางการแพทย์พบว่าในประเทศไทยมีการพบเชื้อลักษณะคล้าย “ไข้หวัดหมู” สายพันธุ์ใกล้เคียงกันมีชื่อว่า สเตรปโตคอก คัส ซูอิส ไทป์ II หรือ Streptococcus suis type II มานานเกือบ 20 ปีแล้ว โดยพบการติดต่อสู่คนทำงานในฟาร์มเลี้ยงสุกร โรงฆ่าสัตว์ พ่อค้าแม่ค้าขายเนื้อสุกรชำแหละและผู้นิยมบริโภคเนื้อสุกรสุก ๆ ดิบ ๆ ในอาหารจำพวกลาบดิบ หลู้ดิบ ลาบเลือดสด ๆ เพียงแต่ความรุนแรงของโรคนี้ไม่น่ากลัวเหมือนในสาธารณรัฐประชาชนจีน อาจเป็นคนละสายพันธุ์ แต่ถือว่าเป็นโรคที่เสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูงมากในปัจจุบัน ผู้เชี่ยวชาญของกรมปศุสัตว์บางคน ยอมรับว่า การแพร่ ระบาดของโรคไข้หวัดหมูนี้ในไทยมีโอกาสระบาดและปกติก็มีเชื้อไวรัสคล้าย ๆ กันอยู่แล้ว เป็นเรื่องที่พบเห็นได้ตามปกติในสุกรของไทย หากสถานที่เลี้ยงสกปรกไม่ได้มาตรฐานโอกาสที่เชื้อที่มีอยู่ตามธรรมชาติจะแพร่ระบาดก็มีสูง แต่ในประเทศไทยมีการควบคุมด้วยยาปฏิชีวนะทำให้การระบาดของโรคอยู่ในวงจำกัด แต่เพื่อความไม่ประมาทกรมปศุสัตว์ได้ส่งหนังสือแจ้งไปยังสำนักงานปศุสัตว์ทั่วประเทศให้เฝ้าระวังและเก็บตัวอย่างมาศึกษา โดยเฉพาะกรณีลูกสุกรตายไม่ทราบสาเหตุรวมทั้งเร่งประชาสัมพันธ์ไปยังกลุ่มผู้เลี้ยงสุกรให้รู้จักวิธีป้องกันตัวเองจากโรคนี้ด้วย นอกจากนี้กรมปศุสัตว์ยังมีแนวคิดเร่งปรับปรุงมาตรฐาน โรงฆ่าสัตว์ให้เป็นสากล เนื่องจากโอกาสที่คนฆ่าสุกรและคนขายเนื้อสุกรมีโอกาสติดเชื้อสูงกว่าผู้บริโภค แต่ก็มีปัญหาในทางปฏิบัติ ผู้ประกอบการโรงฆ่าสัตว์ส่วนใหญ่ไม่ยอมลงทุนและปัจจุบันโรงฆ่าสัตว์อยู่ภายใต้การดูแลขององค์กรส่วนท้องถิ่น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับกรมปศุสัตว์โดยตรง ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการบริหารจัดการให้เป็นระบบ มีรายงานตัวเลขของผู้ป่วยที่ติดเชื้อ สเตรปโตคอกคัส ซูอิส ไทป์ II ที่เคยเข้ารักษาที่โรงพยาบาลของรัฐในแห่งหนึ่งที่กรุงเทพฯ ในปี 2548 จนถึงปัจจุบันมีจำนวน 5 ราย ทำให้ผู้เกี่ยวข้องประเมินสถานการณ์ว่าแม้ปริมาณผู้ป่วยจะไม่มากนักและเชื้อเป็นคนละสายพันธุ์ แต่เป็นสัญญาณที่ไม่ดี ย้อนกลับไปในปี 2547 มีผู้ป่วยโรคนี้เข้ารักษาตัว 2 ราย ปี 2544 มีประมาณ 9 ราย และปี 2543 มีประมาณ 8 ราย และภาวการณ์ติดเชื้อรุนแรงที่สุด 20-30% และอายุเฉลี่ยคนไข้มีตั้งแต่ 1 เดือน-75 ปี สรุปได้ว่า เด็ก คนแก่ และวัยทำงาน มีโอกาสติดเชื้อโรคนี้ได้ทั้งสิ้น ลักษณะอาการของผู้ติดเชื้อสเตรปโต คอกคัส ซูอิส ไทป์ II ซึ่งน่าจะเป็นสายพันธุ์ใกล้เคียงกับในเม็กซิโกจะคล้ายคนเป็นไข้หวัดปกติ แต่จะมีอาการท้องเสีย เจ็บคอ ปวดเมื่อย ตามร่างกาย ปวดศีรษะ หนาวและไม่มีแรง อ่อนล้า ปนอยู่ด้วย ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการท้องเสียและอาเจียนร่วมกัน ในอดีตมีรายงานอาการผู้ป่วยเป็นปอดบวม ระบบหายใจล้มเหลวและเสียชีวิตในที่สุดและระยะเวลาของการติดเชื้อไม่ทราบแน่ชัด แต่คาดว่าใช้เวลาประมาณ 7 วัน รอจนเชื้อฟักตัวได้ที่ก่อนแสดงอาการ สัญญาณเตือนอันตราย หากผู้ป่วยเป็นเด็ก ให้สังเกตการหายใจหรือหายใจลำบาก ผิวหนังจะเป็นจ้ำสีน้ำเงิน ดื่มน้ำน้อย ปลุกไม่ค่อยตื่นหรือไม่มีอาการตอบสนอง หรือชอบงอแงไม่ให้อุ้ม มีไข้เฉียบพลัน หรือเป็นหวัด ไออย่างรุนแรง หากพบเห็นอาการเหล่านี้อย่าไว้ใจ ให้รีบพาไปพบแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญในทันที โอกาสของการได้รับเชื้อโรคร้าย สามารถรับได้ทุกที่ทุกเวลาและทุกโอกาส ทางแรกคือเกิดจากการสัมผัสกับสุกรที่ติดเชื้อหรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปนเปื้อนด้วยเชื้อไวรัสอันตราย ทางที่สองเกิดจากการสัมผัสระหว่างคนกับคนที่มีเชื้อในร่างกาย หรือรับเชื้อจากการไอที่ แพร่กระจายทางอากาศ ซึ่งการระบาดของเชื้อจากคนสู่คนมีโอกาสพอ ๆ กับเชื้อระบาดจากสุกรสู่คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงอุณหภูมิและสภาพแวดล้อมเหมาะสมแก่การเจริญเติบโตของไวรัส การรักษาโรคนี้ตามมาตรฐานสากล ผู้เชี่ยวชาญหรือแพทย์ในปัจจุบันจะนิยมใช้ตัวยาประเภท Oseltamivir หรือ Zanamivir ซึ่งผู้ป่วยไม่ควรไปหาซื้อยามารับประทานกันเอง เพราะอาจทำให้เชื้อโรคดื้อยาและทำให้ยากแก่การรักษามากกว่าเดิม หากอาการหนักเกินไป ผู้เชี่ยวชาญจะใช้ ยาต้านไวรัส (Antivirus drug) ทั้งยาเม็ด ยาน้ำและยาชนิดสูดดมทำการรักษาเพื่อให้ผู้ป่วยอาการดีขึ้น อย่างไรก็ตามหากใครป่วยโรคไข้หวัดหมูหรือป่วยด้วยเชื้อโรคสายพันธุ์ใกล้เคียงกัน ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนในการรักษา ผู้ป่วยหรือคนปกติต้องใช้ความระมัดระวังป้องกันตัวเองจากเชื้อโรคเอาเอง และการป้องกันโรคระบบทางเดินหายใจก็เป็นหนทางหนึ่งที่สามารถนำมาใช้ป้องกันโรคนี้ได้ แน่นอนว่าคงไม่มีใครอยากป่วย ไม่ว่าเป็นโรคอะไรก็ตาม.

http://news.impaqmsn.com/articles_hn.aspx?id=260962&ch=hn

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น